นายขวัญชัย ณัฏฐ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) หรือ COLOR เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.39 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.52 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 171.14 % ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2554 ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.29 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5.64 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ COLOR เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 23.27% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 22.23% โดยสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1-3 ในปี 2554 มีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และตลาดมั่นใจในคุณภาพสินค้า ส่งผลให้ยอดขายทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทขยายตัวตามไปด้วย
เขากล่าวต่อว่า จากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ต้องยอมรับว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าบางรายภายในประเทศ แต่สำหรับ COLOR ได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาขยายธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ มากยิ่งขึ้น เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น เพื่อชดเชยธุรกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงนี้และยังเป็นการผลักดันสร้างตลาดส่วนเพิ่มเพื่อรองรับกำลังผลิตที่จะเติบโตขึ้นจากโรงงานใหม่ในอนาคตอย่างมีศักยภาพ โดยสัดส่วนการส่งออกของบริษัทช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 22% ซึ่งเชื่อว่าจากการรุกเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้นจะทำให้สัดส่วนการส่งออกปีนี้เพิ่มเป็น 25%
"ผลประกอบการ9เดือนที่ประกาศออกมาถือเป็นที่น่าพอใจ และยังคงสอดคล้องกับประมาณการรายได้ที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ ส่วนแนวโน้มทิศทางธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรต่อไปนั้นยังต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องของภาวะน้ำท่วมและปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลายหรือมีแนวทางในการแก้ไขอย่างชัดเจน แต่ในเบื้องต้นภาวะน้ำท่วมยังไม่มาถึงบริเวณเทพารักษ์-บางพลี จึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวโรงงานของบริษัทแต่อย่างใด เครื่องจักรยังสามารถดำเนินการผลิตอย่างเป็นปกติ การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเข้า-ออกยังสามารถดำเนินต่อเนื่องได้สะดวก และพบว่าคำสั่งซื้อมีเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น COLOR จึงใช้โอกาสนี้ที่จะขยายตลาดส่งออกและในประเทศบางรายเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการรองรับอนาคต และเชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ดีตามความต้องการใช้ของผู้บริโภคหลังน้ำลดลงแล้ว และเป็นจังหวะที่ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง" นายขวัญชัยกล่าว
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ บนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูขนาดพื้นที่ 14 ไร่ เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยคาดว่าโรงงานจะเสร็จประมาณต้นปี 2555 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้า หลังจากดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้โรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 60,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 ตันต่อปี