บล.โกลเบล็กมองกรอบดัชนีสิ้นปี 1,085 (1,251) จุด สร้างจุดสูงสุดใหม่ หลังรัฐบาลอัดฉีดการฟื้นฟู

จันทร์ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๐๑๑ ๑๑:๒๗
บล.โกลเบล็ก แนะเก็งกำไรขึ้นขาย-ลงซื้อ มั่นใจหุ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่หลังวิกฤตคลี่คลาย มองกรอบ 1,085-1,251 จุด จาก Upside ทั้งตลาดยังมีอยู่สูง เชื่อรัฐบาลเร่งฟื้นฟู และอัดฉีดเงินเข้าระบบได้อีกเพียบ ส่วนภาคเอกชนเร่งฟื้นตัวผลิตออร์เดอร์รักษาฐานลูกค้า ส่วนกองทุน LTF+RMF หงอย เหตุประชาชนใช้เงินออมซ่อมแซมบ้านแทนลงทุน

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวให้ความเห็นถึงแนวโน้มการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2554 ว่า ภาพการลงทุนระยะสั้นในประเทศไทยยังผันผวนตามปัจจัยข่าวต่างประเทศที่มีความเสี่ยงตลอดเวลา เช่น กรณีของกรีซที่แม้ขณะนี้จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ด้วยการเป็นรัฐบาลผสมในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาได้ ความไม่มั่นใจต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาไม่ให้วิกฤตหนี้ลุกลามไปยังประเทศขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในการลงทุนและส่งผลต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น การซื้อขายในช่วงนี้จึงเป็นการเก็งกำไร ซึ่งทาง บล.โกลเบล็ก ไม่แนะนำนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะกลางออกจากตลาดจากความกังวล

โดยมองว่าเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อเศรษฐกิจมหภาคของไทยพอสมควร แต่ไม่ได้กระทบจนถึงวิกฤตเหมือนประเทศในแถบยุโรป ซึ่งการปรับตัวลดลงของหลักทรัพย์สะท้อนจากปัจจัยข่าว แต่ไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน เพราะฉะนั้นการปรับตัวลงของหลักทรัพย์จึงเป็นเหมือนการดิสเคาท์ ดังนั้น จึงมีกลุ่มนักเก็งกำไรและนักลงทุนระยะกลางเข้ามาซื้อเนื่องจากต้นทุนการถือครองต่ำกว่า ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับมาก

อย่างไรก็ตาม จากสถิติที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศ และการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จนมีการปรับตัวลดลงนั้น เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายจะมีการปรับตัวขึ้น และสร้างจุดสูงสุดใหม่ หรือปรับตัวขึ้นมากกว่ารอบที่ผ่านมา สังเกตุจากการที่ยังมีการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งแม้ว่าจะมีการขายออกไป แต่เป็นเพียงการขายเก็งกำไรในหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากเท่านั้น และมุมมองของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ จะมองว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีส่วนต่าง(Up Side) สูงจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเข้าพอร์ตเช่น PTT และธนาคารขนาดใหญ่ จากราคาที่ปรับตัวลดลงจากการเทขาย

“การลงทุนในประเทศไทยยังอิงปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก แม้ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมจะส่งผลโดยภาพรวมของประเทศ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดบ่อย และราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาไม่ได้เกิดจากน้ำท่วมทั้งหมด แต่จะมีผลกับหลักทรัพย์บางหลักทรัพย์ได้หรือเสียประโยชน์เท่านั้น ส่วนการที่เรามองว่าถึงสิ้นปีต่างชาติจะเทขายออกมา เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวนั้น เชื่อว่าจะมีเพียงส่วนน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาช่วงกลางปีนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกมาค่อนข้างมาก จากเหตุการวิกฤตทางการเงินในแถบยุโรป แต่ขณะนี้น่าจะมีเงินบางส่วนกระจายออกมาเพื่อลงทุนในระยะยาว”นายธวัชชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าประเทศไทยหลังเกิดวิกฤตประเทศไทยจะมีการฟื้นฟูที่ดี จากการที่รัฐบาลไทยยังมีศักยภาพในการใช้จ่ายเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง โดยยังมีโอกาสที่จะขาดดุลงบประมาณได้อีก ดังนั้น เชื่อว่ากรณีน้ำท่วมรัฐบาลจะมีการอัดฉีดงบเพื่อมาฟื้นฟู และมีการใช้จ่ายในโครงการต่างๆที่เกี่ยวกับการป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น

ขณะที่ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบนั้น จะมีการฟื้นตัวที่ดีจากเงินสำรองที่แต่ละบริษัทที่จะใช้ในการซ่อมแซม หรือสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ในการผลิตออร์เดอร์ตามคำสั่ง เพื่อรักษาฐานลูกค้า และไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารที่พร้อมจะดูแลรักษาฐานลูกค้าเงินกู้ของตนเอง และเชื่อว่าที่ผ่านมาบริษัทในประเทศไทยได้เรียนรู้ และพร้อมรับมือถึงวิกฤตหรือเหตุการณ์ต่างๆ มาพอสมควร ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ปฏิวัติ หรือแม้สถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง เป็นต้น

ดังนั้น บล.โกลเบล็ก แนะนำการลงทุนระยะสั้นขึ้นขาย-ลงซื้อ จากราคาปัจจุบันมีส่วนต่าง(Up Side) ส่วนการลงทุนระยะกลางหากดัชนีมีการปรับตัวลงค่อนข้างมาก แนะนำให้ซื้อเก็บเข้าพอร์ต ทั้งนี้ มองดัชนีสิ้นปีที่ 1,085 (1,251) จุด อิง P/E อยู่ที่ 13-15 เท่า โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์หลังจากสถานการณ์น้ำท่วม ได้แก่ กลุ่มรับเหมา กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น CK ITD STEC HMPRO แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 11.30 บาทสำหรับปี 55 : ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจากยอดขายที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นหลังจากน้ำลด ทั้งนี้ราคาเหมาะสมซึ่งอิงProspect PER อิงกลุ่มพาณิชย์ที่ระดับ 25 เท่าได้เท่ากับ 11.30 บาทสำหรับปี 55 ซึ่งยังสูงกว่าราคาปิดล่าสุด CCP DCC TASCO กลุ่มนิคมฯ HEMRAJ ซื้อเป้าปี 55 : 3 บาท 3Q54 มีกำไรสุทธิ 154 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 396%qoq แต่ลดลง 56.4%yoy ส่วนระยะยาวได้ประโยชน์จากปัญหาน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมในอยุธยา และปทุมธานี คาดลูกค้าโยกฐานการผลิตเข้านิคมอิสเทิร์นซีบอร์ด ขณะที่ปี55 คาดกำไรสุทธิโตโดดเด่นกว่าเท่าตัวจากการเริ่มรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้า Gheco One กลุ่มกำจัดขยะ GENCO BWG PRO กลุ่มเทคโนโลยี เช่น AIT เป็นต้น

ขณะที่กลุ่มหลักทรัพย์ที่จะได้รับผลประโยชน์ และเสียประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร เนื่องจากอาจจะมีการพักชำระหนี้ตามมาตรการเยียวยาข่วยเหลือทั้งในส่วนของบุคคล กลุ่มธุรกิจ และกลุ่มโรงงาน แต่ในทางกลับกันการพิจารณาปล่อยกู้ และพิจารณาเครดิตจะดีขึ้น และยอดสินเชื่อจะเติบโตขึ้นหลังจากนี้เช่นกัน นอกจากนี้ หลังการฟื้นฟูสถานการณ์น้ำท่วมแล้วหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจะได้ผลประโยชน์ จากการที่รัฐบาลจะต้องเร่งนโยบายเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติและนักท่องเที่ยว เนื่องจากรายได้หลักของประเทศยังคงมาจากการท่องเที่ยว

สำหรับการลงทุนผ่านกองทุน LTF และ RMF นั้น มองว่าระยะนี้นักลงทุนจะเลือกช่องทางการลงทุนเองมากกว่าจะลงทุนผ่านกองทุน และเงินออมของประชาชนที่มีอยู่จะนำมาใช้ในการซ่อมแซมบ้านที่เสียหายมากกว่านำมาลงทุนผ่านกองทุนเหมือนที่ผ่านมา

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ