วันนี้ (21พย.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เป็นประธานในการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการนำร่องการบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในมหาวิทยาลัย โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้ง 3 หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วม
นายพิชัย กล่าวว่า จากสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดี รวมทั้งมีข่าวดีที่ปริมาณน้ำก็เริ่มลดลงในหลายพื้นที่ พพ.จึงขอริเริ่มโครงการดี ๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู โดยเฉพาะด้านมิติการใช้พลังงาน ที่ถือเป็นโอกาสอันดีในการชักชวนให้ทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และประชาชน ได้เริ่มใส่ใจต่อการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างต้นแบบนำร่องให้กับภาคส่วนดังกล่าว ให้ได้มีความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของพลังงาน รู้จักใช้พลังงานอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันด้านพลังงาน รวมทั้งการลดสภาวะโลกร้อน พพ. จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกัน โดยการใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่เหมาะสมมาปรับใช้ ทั้งในด้านการบริหารจัดการและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน
นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า สำหรับการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในวันนี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการเพื่อประหยัดพลังงานร่วมกัน และสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยเร็ว ซึ่งเนื้อหาหลักของ MOU ดังกล่าว พพ. จะได้ทำหน้าที่ให้การสนับสนุนด้านหลักวิชาการพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางประสานงานความร่วมมือ เพื่อจัดหาแหล่งเงินลงทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาโครงการนำร่องประสบผลสำเร็จและเป็นต้นแบบนำร่องสำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ในด้านการประหยัดพลังงาน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) จะให้การสนับสนุนด้านการลงทุนและการบริหารจัดการพลังงานเพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั้ง 3 หน่วยงานพร้อมจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน รวมทั้งจะได้มอบหมายให้ตัวแทนแต่ละองค์กรร่วมกันจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะได้ขยายต่อไปยังสถาบันการศึกษาอื่นๆ และในภาคส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อไป