ทริสเรทติ้งว่ากลุ่มน้ำตาลขอนแก่นจะยังคงดำรงสถานะการเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทยเอาไว้ได้ ส่วนผลการดำเนินงานของโรงงานน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชานั้นคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปีการเงิน 2555 ในขณะที่โรงงานแห่งใหม่ที่อำเภอบ่อพลอยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการจัดหาอ้อยให้แก่บริษัท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความเข้มแข็งของฐานะการเงินเอาไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจน้ำตาลในต่างประเทศ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทน้ำตาลขอนแก่นเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2488 โดยตระกูลชินธรรมมิตร์และคณะ ปัจจุบันตระกูลชินธรรมมิตร์ถือหุ้นในบริษัทรวม 68% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 4 แห่งในจังหวัดขอนแก่น กาญจนบุรี และชลบุรี โดยมีกำลังการหีบอ้อยรวม 64,000 ตันอ้อยต่อวัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถจัดหาอ้อยได้ปีละประมาณ 4-5 ล้านตันอ้อย และมีผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ย 500,000 ตันต่อปี ในปีการผลิต 2553/2554 กลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถผลิตน้ำตาลได้ 622,330 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 6.44% ของปริมาณน้ำตาลทั้งประเทศ ซึ่งจัดอยู่ในลำดับ 5 รองจากกลุ่มมิตรผลซึ่งมีสัดส่วน 19.34% กลุ่มไทยรุ่งเรือง 16.67% กลุ่มไทยเอกลักษณ์ 11.27% และกลุ่มวังขนาย 7.82% โรงงานของบริษัทมีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลอยู่ที่ 91.01 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อยเมื่อวัดจากอ้อยในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับปีการผลิต 2553/2554 ซึ่งดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยที่ 89.58 กก.
ตั้งแต่ปี 2549 บริษัทได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยอันประกอบด้วยธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอล โดยในระหว่างปีการผลิต 2550-2552 รายได้จากธุรกิจพลังงาน (เอทานอลและไฟฟ้า) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวมของบริษัท ในขณะที่กำไรสุทธิจากธุรกิจพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของกำไรสุทธิรวม ส่วนในปีการผลิต 2553 รายได้จากธุรกิจพลังงานคิดเป็น 8.85% ของยอดขาย และมีกำไรสุทธิคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 170.57% ของกำไรสุทธิรวมเนื่องจากมีผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ในธุรกิจน้ำตาล
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า โรงงานน้ำตาลของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นในประเทศลาวและกัมพูชาเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปีการผลิต 2552/2553 และมีอ้อยป้อนโรงงานทั้ง 2 แห่งจำนวน 300,299 ตันอ้อยในปีการผลิต 2553/2554 ผลผลิตอ้อยในประเทศลาวและกัมพูชาต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากการขาดแคลนแรงงานฝีมือและความยากลำบากในการบริหารจัดการไร่อ้อยในประเทศดังกล่าว บริษัทส่งออกน้ำตาลทรายดิบที่ผลิตจากโรงงานในประเทศลาวและกัมพูชาไปยังกลุ่มประเทศยุโรปและคาดว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้จะสามารถผลิตน้ำตาลในระดับที่ถึงจุดคุ้มทุนได้ในปีการผลิต 2554/2555
เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดหาอ้อย บริษัทมีการลงทุนจำนวน 7,250 ล้านบาทเพื่อย้ายโรงงานน้ำตาลที่มีอยู่เดิมและขยายกำลังการผลิตไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี โดยศูนย์การผลิตดังกล่าวประกอบด้วยโรงงานน้ำตาล โรงงานผลิตเอทานอล และโรงไฟฟ้าอย่างละ 1 โรง ปัจจุบันโครงการส่วนแรกเริ่มดำเนินการผลิตแล้วในปีการผลิต 2553/2554 และคาดว่าโครงการส่วนที่ 2 จะเริ่มดำเนินงานได้ในปีการผลิต 2554/2555 บริษัทยังเตรียมโครงการขยายกำลังการผลิตน้ำตาลไปยังจังหวัดเลยโดยใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 3,800 ล้านบาทด้วย โดยโครงการนี้ประกอบด้วยโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าอย่างละ 1 โรง ทั้งนี้ คาดว่าโรงงานแห่งใหม่ดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปีการผลิต 2556/2557
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีการเงิน 2554 (พฤศจิกายน 2553-กรกฏาคม 2554) บริษัทมียอดขายรวม 12,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปีการเงิน 2554 ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 494% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 1,484 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนที่ลดลงอย่างมากจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ รวมถึงราคาขายน้ำตาลทรายและปริมาณขายน้ำตาลทรายที่เพิ่มขึ้น บริษัทมียอดเงินกู้ ณ เดือนกรกฎาคม 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 13,074 ล้านบาท แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังค่อนข้างทรงตัวที่ระดับ 54.07% เมื่อเทียบกับระดับ 53.81% ณ เดือนตุลาคม 2553
ปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ในปีการผลิต 2553/2554 ปริมาณผลผลิตอ้อยของไทยมีมากถึง 95.38 ล้านตันอ้อย ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกอ้อย ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกในเดือนมกราคม 2554 อยู่ในระดับสูงที่ 36.11 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากผลผลิตอ้อยที่ลดลงในประเทศออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคาได้ปรับตัวลดลงและเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 23-25 เซนต์/ปอนด์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยจากไทย อินเดีย รัสเซียและยุโรปจะเพิ่มขึ้น องค์การน้ำตาลระหว่างประเทศ (International Sugar Organization) ประมาณการว่าดุลน้ำตาลในปี 2554/2555 จะมีน้ำตาลส่วนเกิน 4.46 ล้านตัน โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีน้ำตาลส่วนเกิน 1.9 ล้านตัน แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ของกลุ่มประชาคมยุโรปเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาน้ำตาลให้อ่อนตัวลง สำหรับประเทศไทยนั้น อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อพื้นที่ปลูกอ้อยเพียง 1% ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณอ้อยในฤดูการผลิต 2554/2555 จะยังสูงถึง 99.5 ล้านตัน ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KSL12NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ A-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557 A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)