นายถกล ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 ว่าจะมีอัตราการขยายตัวดีต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากสต็อกน้ำตาลของบราซิลและสต๊อกน้ำตาลทั่วโลกยังอยู่ในระดับที่ต่ำ อีกทั้งจากรายงานผลการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกในบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำตาลรวมถึงการขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วย บวกกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ทำให้คาดว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลก มีแนวโน้มจะยืนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ราว 22-35 เซ็นต์ต่อปอนด์ ต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2557
“ในปี 2555 คาดว่าผลประกอบการของ KBS จะมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องได้ โดยวางเป้าหมายเบื้องต้นคาดว่ารายได้รวมจะมีการเติบโตประมาณ 10-15% และมีอัตรากำไรสูงกว่ารอบปี 2554 เนื่องจากที่ผ่านมาได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทำให้สามารถผลิตน้ำตาลได้มากขึ้น นอกจากนี้คาดว่าปริมาณหีบอ้อยในงวดปี 2555 จะใกล้เคียงกับปี 2554 ที่ 2.8 ล้านตันอ้อย และบริษัทได้มีสัญญาขายล่วงหน้าแล้วถึงร้อยละ 85”
สำหรับผลประกอบการของ KBS ในในรอบปี 2554 (งวดเดือน ตุลาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2554) มีกำไรสุทธิ 800.95 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับผลประกอบการของปี 2553 ที่มีผลกำไรสุทธิ 168.02 ล้านบาท บริษัทมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 632.93 ล้านบาท คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 376.70
สาเหตุหลักที่กำไรประจำปี 2554 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการปี 2553 ส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิต และทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มากกว่าปีก่อน 36.58 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2554 จำนวน 2.88 ล้านตัน เทียบกับปี 2553 จำนวน 2.01 ล้านตัน เท่ากับเพิ่มขึ้น 0.87 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ทั้งนี้ปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งประเทศปี 2554 จำนวน 95.36 ล้านตัน เทียบกับปี 2553 จำนวน 68.5 ล้านตัน เท่ากับ เพิ่มขึ้น 26.86 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากปริมาณอ้อยทั้งประเทศที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้การแข่งขันซื้ออ้อยระหว่างโรงงานน้อยลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการจัดหาอ้อยลดลง ขณะที่ราคาเฉลี่ยน้ำตาลขายต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.64
เขากล่าวต่อในช่วงท้ายว่าจากผลประกอบการที่ขยายตัวดีต่อเนื่องทำให้คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2554 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.62 บาท รวมเป็นเงิน 310 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 หุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท คงเหลือเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายหุ้นละ 0.42 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 210 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ให้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2555 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิเข้าร่วมประชุมและสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 ธันวาคม 2554 และรวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไข พ.ศ.2551) โดยวิธีปิด สมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2554 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555