เขาเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้ชมสำหรับบทบาทของ โอบี-วัน เคนโนบี ในภาพยนตร์ของ จอร์จ ลูคัส เรื่องที่สองของบล๊อคบัสเตอร์ เรื่อง Star Wars ไตรภาค เมื่อไม่นานมานี้เขายังได้รับบทบาทในภาคสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่อง Star Wars: Episode III — Revenge of the Sith
เขาเกิดที่สก๊อตแลนด์ แม๊คเกรเกอร์ได้รับโอกาสทางการแสดงครั้งแรกที่โรงละคร เพิร์ธ รีพอร์ตทอรี่ เธียร์เตอร์ และต่อมาได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนการแสดง London Guildhall School of Music and Drama หกเดือนก่อนหน้าที่เขาจะจบการศึกษา เขาได้รับบทนำในผลงานซีรีส์หกตอนทางช่อง บีบีซี ของ เดนนิส พอตเตอร์ เรื่อง Lipstick on Your Collar และได้ทำงานการแสดงอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่นั้นมา เขาเริ่มงานในวงการภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1993 ในผลงานของ บิลล์ ฟอร์ไซท์ เรื่อง Being Human และในปีต่อมา เขาได้รับการกล่าวขวัญและได้รับรางวัล Empire Award สำหรับผลงานการแสดงในภาพยนตร์ตื่นเต้นเรื่อง Shallow Grave ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการร่วมงานกับผู้กำกับการแสดง แดนนี่ บอยล์
ในปี 1996 เขาได้ร่วมงานกับ บอยล์อีกครั้งหนึ่ง โดยร่วมแสดงในภาพยนตร์ดราม่า เรื่อง Trainspotting แม๊คเกรเกอร์ยังได้แสดงในบทบาทของ มาร์ค เรนตั้นซึ่งทำให้เขาได้รับการกล่าวขวัญ และได้รับรางวัลต่าง ๆ อีกมากมายร่วมไปถึง รางวัล London Film Critics Circle รางวัล Empire และรางวัล BAFTA Scotland Awards ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์ของเขายังรวมไปถึงภาพยนตร์โรแมนติคคอมเมดี้เรื่อง Emma ซึ่งแสดงคู่กับ กวินเน็ธ พาลโทรว์; เรื่อง Brassed Off และเรื่อง Little Voice ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นผลงานของผู้กำกับการแสดง มาร์ค เฮอร์แมน; ผลงานภาพยนตร์ดราม่าของ ฟิลิป รูเซลล๊อท เรื่อง The Serpent’s Kiss; ผลงานของ แดนนี่ บอยล์เรื่อง A Life Less Ordinary โดยแสดงกับ คาเมร่อน ดีแอซ ซึ่งทำให้แม๊คเกรเกอร์ได้รับรางวัล Empire Award อีกรางวัลหนึ่ง; และผลงานที่ได้รับการกล่าวขวัญของ ท้อดด์ เฮย์เนส เรื่อง Velvet Goldmine และในช่วงนี้ แม๊คเกรเกอร์ยังได้ร่วมแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ดราม่าทางโทรทัศน์ยอดนิยมเรื่อง ER ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Emmy สำหรับนักแสดงรับเชิญที่มีความโดดเด่นอีกด้วย
ในปี 2001 แม๊คเกรเกอร์ยังได้ร่วมแสดงคู่กับ นิโคล คิดแมน ในผลงานภาพยนตร์เพลงอลังการของ บาซ ลูห์แมน เรื่อง Moulin Rouge ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เกียรติอย่างมากมาย และแม๊คเกรเกอร์นั้นยังเป็นที่ยอมรับสำหรับรางวัล London Film Critics Circle Aware รางวัล Empire Award และได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลลูกโลกทองคำสำหรับนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
ในปีเดียวกันนั้นเอง แม๊คเกรเกอร์ ยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์สงครามดราม่าของ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ เรื่อง Black Hawk Down ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ของเขายังรวมไปถึงภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญเรื่อง Young Adam; ภาพยนตร์โรแมนติคคอมเมดี้เรื่อง Down With Love ซึ่งแสดงคู่กับ เรอเน่ เซลล์วีเกอร์; ผลงานภาพยนตร์แนวแฟนตาซีที่ได้รับการกล่าวขวัญของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Big Fish โดยแสดงกับ อัลเบิร์ต ฟินเน่ย์; และภาพยนตร์การ์ตูนคอมเมดี้ยอดฮิตเรื่อง Robots
หลังจากภาพยนตร์เรื่อง The Island แล้วเรายังจะได้เห็นแม๊คเกรเกอร์ในผลงานภาพยนตร์ดราม่าของ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ เรื่อง Stay ซึ่งเขาแสดงคู่กับ นาโอมี่ วัตต์ และเขายังได้กลับมาร่วมงานละครเวทีอีกครั้ง โดยรับบทนำในผลงานของ สกาย มาสเตอร์สันในการผลิตของ ดอนมาร์ แวร์เฮ้าส์ เรื่อง Guys and Dolls ที่โรงละคร ลอนดอน เวสต์ เอ็นด์
สการ์เล็ตต์ โจฮันสัน (จอร์แดน ทู-เดลต้า/ซาร่าห์ จอร์แดน) ได้ค่อย ๆ กลายเป็นนักแสดงหญิงที่ได้รับการถามหาในวงการหลังจากได้รับรางวัลนักแสดงรุ่นเยาว์ เธอได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลลูกโลกทองคำถึงสามครั้ง และยังได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลอีกครั้งเมื่อต้นปีนี้จากผลงานการแสดงของเธอคู่กับ จอห์น ทราโวต้าในภาพยนตร์ดราม่าอิสระเรื่อง A Love Song for Bobby Long ในปี 2004 เธอได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลลูกโลกทองคำถึงสองครั้ง; รางวัลหนึ่งจากบทบาทการแสดงนำของเธอในเรื่อง Girl With a Pearl Earring และอีกรางวัลหนึ่งจากการแสดงในผลงานของ โซเฟีย คอปโปล่า เรื่อง Lost in Translation ซึ่งเรื่องนี้โจฮันสันได้ร่วมแสดงกับ บิลล์ เมอร์เรย์ นอกจากนี้เธอยังได้รับการยอมรับโดยได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล BAFTA สำหรับภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง และเธอยังได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Lost in Translation ผลงานของเธอจากเรื่องนี้ยังทำให้เธอได้รับเกียรติจากกลุ่มวิจารณ์อีกมากมายและเธอยังได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก เทศกาล เวนิซ ฟิลม์ เฟสติวัล อีกด้วย
โจฮันสัน จบปี 2004 ด้วยการแสดงของเธอร่วมกับ เดนนิส เควดและ โทเฟอร์ เกรซในภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดฮิต ของพี่น้อง เวทซ์ เรื่อง In Good Company เธอแสดงในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ วู้ดดี้ อัลเลน เรื่อง Match Point ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในงานเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์ โจฮันสันยังจะมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่จะตามมาอีก รวมถึงภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรมเรื่อง The Black Dahlia ซึ่งเธอได้ร่วมแสดงกับ โจช ฮาร์ทเน็ทท์ เป็นผลงานการกำกับการแสดงของ ไบรอัน เดอ พาลม่า; ผลงานยังไม่ได้ตั้งชื่อของ วูดดี้ อัลเลนที่กำลังจะทำในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2006
เธอเป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด โจฮันสันได้เริ่มงานอาชีพการแสดงตอนเธออายุได้ 8 ขวบในผลงานนอกเวที บรอดเวย์เรื่อง Sophistry โดยร่วมแสดงกับ อีธาน ฮอว์ค ที่โรงละคร New York’s Playwrights Horizons เธอเริ่มงานในวงการภาพยนตร์จากผลงานคอมเมดี้ของ ร๊อบ เรนเนอร์ เรื่อง North และยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์อีกหลายต่อหลายเรื่องอาทิภาพยนตร์แนวตื่นเต้นเรื่อง Just Cause โดยร่วมแสดงกับ ชอน คอนเนอรี่ และ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น; ภาพยนตร์คอมเมดี้ เรื่อง If Lucy Fell; และภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญเรื่อง Manny & Lo ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Independent Spirit Award ในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม ในผลงานดราม่าของ โรเบิร์ต เรดฟอร์ดในปี 1998 เรื่อง The Horse Whisperer ที่โจฮันสัน ได้มีผลงานการแสดงของเธอโดยเธอรับบทเป็น เกรซ แม๊คคลีน ซึ่งเป็นเด็กหญิงวัยรุ่น ที่ช๊อคหลังจากอุบัติเหตุที่ร้ายแรง สองปีหลังจากนั้น เธอได้รับรางวัลอีกครั้งหนึ่งสำหรับงานของเธอจากผลงานของ เทอร์รี่ ซวิกอฟฟ์ เรื่อง Ghost World โดยได้รับรางวัล นักแสดงสนับสนุนหญิงยอดเยี่ยม จาก Toronto Film Critics Circle โจฮันสันยังได้ร่วมแสดงกับ บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน และ ฟราสเชส แม๊คดอมันด์ในผลงานภาพยนตร์ดราม่ามืดของ พี่น้อง โคเอ็น เรื่อง The Man Who Wasn’t There ผลงานภาพยนตร์ที่สร้างชื่อของเธอยังรวมไปถึงเรื่อง An American Rhapsody และเรื่อง The Perfect Score
ดจิม่อน ฮาวน์ซูว์ (อัลเบิร์ต โลรองท์) ได้รับเกียรติเสนอชื่อเข้ารับรางวัล อคาเดมี่ อวอร์ด และชนะเลิศรางวัล Independent Spirit Award สำหรับบทบาทของเขาที่แสดงเป็น แมธีโอ ผู้โดดเดี่ยวซึ่งชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงสองคน ในผลงานภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้อพยพของ จิม เชอริเดน เรื่อง In America เขายังได้มีชื่อเป็นนักแสดงสนับสนุนชายแห่งปี ของ โช เวสต์ และยังได้ร่วมอยู่ในทีมงานแสดงซึ่งร่วมได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Screen Actor Guild (SAG) Award ในฐานะนักแสดงที่มีความโดดเด่นอีกด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ ฮาวน์ซูว์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล SAG ในผลงานที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองสำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ ริดลีย์ สก๊อตต์ เรื่อง Gladiator ซึ่งเขาได้ร่วมแสดงกับ รัสเซล ครอว์ ในช่วงแรก ๆ ของอาชีพการแสดงของเขานั้น เขาได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับรางวัล Image Award สำหรับการแสดงของเขาซึ่งรับบทเป็น ซิงต์ โดยเป็นชาวแอฟริกันที่ถูกจับซึ่งเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่ออิสระภาพ ในผลงานภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์เรื่อง Amistad
ฮาวน์ซูว์ยังได้ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่นตื่นเต้นเรื่อง Constantine โดยร่วมแสดงกับ คีอานู รีฟส์และยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์คอมเมดี้เรื่อง Beauty Shop ซึ่งร่วมกับทีมงานแสดงซึ่งนำโดย ควีน ลาติฟาห์ ผลงานสร้างชื่อเรื่องอื่น ๆ ของเขายังรวมไปถึง ผลงานภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่นของ ยัน เดอ บอนท์ เรื่อง Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life ซึ่งนำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี่; เรื่อง Biker Boyz โดยร่วมแสดงกับ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น; ผลงานดราม่าย้อนยุคเรื่อง The Four Feathers โดยร่วมแสดงกับ ฮีธ เลดเจอร์และ เคธ ฮัดสัน; และภาพยนตร์ตื่นเต้นเรื่อง Deep Rising
ทางจอแก้วนั้น ฮาวน์ซูว์ยังร่วมงานในซีรีส์ หกภาคโดยแสดงเป็น ผู้อพยพชาวแอฟริกันซึ่งแสวงหา ความคุ้มครองในซีรีส์เรื่อง ER เมื่อปีที่แล้ว เขายังได้ร่วมแสดงเป็นผู้ร้ายทางซีรีส์ทางช่อง เอบีซี เรื่อง Alias โดยร่วมแสดงกับ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์
เขาเป็นชาวเบนนิน ประเทศแอฟริกาตะวันตก ฮาวน์ซูว์ย้ายเข้ามาอยู่ที่ปารีสเมื่อเขาอายุได้ 13 และเมื่ออายุได้ 22 ปี เขาได้รับการค้นพบโดยแฟชั่น ดีไซน์เนอร์ชื่อดัง เธียร์รี่ มูแกลร์ ผู้ซึ่งได้ขึ้นชื่อเขาสำหรับ แคมเปญดีไซน์หลายต่อหลายชิ้น และยังได้ลงในหนังสือ ชื่อ Thierry Mugler’s Photographs ฮาวน์ซูว์ยังได้เป็นหนึ่งในหัวข้อ เฮริบ ริตต์ จากหนังสือ Men and Women เขายังเข้าตาผู้กำกับการแสดง เดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งคัดเลือกเขาให้เล่นในมิวสิควิดีโอสามเรื่อง: คือผลงานของ สตีฟ วู้ด เพลง Roll With It ผลงานของ มาดอนน่า เพลง Express Yourself และ ผลงานของ พอลล่า อับดุล เพลง Straight Up เขายังได้ร่วมแสดงในมิวสิควิดีโอของ เจเน็ท แจ๊คสันในเพลง Love Will Never Do Without You รวมทั้งผลงานภาพยนตร์โปรเจ็คเล็ก ๆ หลายเรื่องก่อนที่เขาจะเริ่มงานภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ในปี 1997 เรื่อง Amistad
ฌอน บีน (เมอร์ริค) ประสบผลสำเร็จในด้านการแสดงทั้งทางเวทีและจอภาพยนตร์ ในประเทศอเมริกาและบ้านเกิดของเขาในประเทศอังกฤษ เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับบทพระเอก คือ โบโรเมียร์ในผลงานชนะเลิศรางวัลออสก้าร์หลายรางวัลของ ปีเตอร์ แจ๊คสัน เรื่อง The Lord of the Rings สามภาค โดยในภาคแรกได้ร่วมแสดงใน The Fellowship of the Ring และรับบทเดิมอีกครั้งหนึ่งจาก The Two Towers และภาพสุดท้าย The Return of the King บีนนั้นได้อยู่ในรายชื่อนักแสดงที่ได้รับเกียรติได้รับรางวัล Screen Actors Guild รางวัล Critics Choice และรางวัล National Board of Review Awards สำหรับ Best Ensemble สำหรับภาพยนตร์ภาคจบคือเรื่อง The Lord of the Rings: The Return of the King
ในปี 2004 บีนได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แอ๊คชั่นผจญภัยผลงานของ จอน เทอเติ้ลทอล์บ เรื่อง Natioal Treasure และยังได้ร่วมแสดงในตำนานผลงานของ วูล์ฟแกง ปีเตอร์สัน เรื่อง Troy และต่อจากผลงานเรื่อง The Island บีนได้ร่วมแสดงภาพยนตร์อีกสองเรื่องซึ่งจะออกฉายในปีนี้: ภาพยนตร์ตื่นเต้นเรื่อง Flightplan โดยร่วมแสดงกับ โจดี้ ฟอสเตอร์ และภาพยนตร์ตื่นเต้นสยองขวัญเรื่อง The Dark ผลงานภาพยนตร์ที่จะตามมาอีกของเขายังรวมไปถึงภาพยนตร์ดราม่าที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ซึ่งกำกับการแสดงโดย นิกี้ คาโร่ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ชาล์ไลซ์ เธอร์ร่อน และภาพยนตร์ ตื่นเต้นสยองขวัญอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง Silent Hill
เขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักแสดง บีนจบการศึกษาเกียรตินิยมจาก the Royal Academy of Dramatic Arts ในกรุงลอนดอน และต่อมาเขาก็ได้เป็นสมาชิกของ The Royal Shakespeare Company และยังได้ร่วมแสดงในละครอีกหลายเรื่องที่โรงละคร ลอนดอน เวสต์ เอนด์และโรงละคร กลาสโกลว์ ซิติเซ่น เธียร์เตอร์ ผลงานของเขาทั้งทางจอแก้วและจอเงินทำให้เขาได้รับรางวัลจากบทบาทของเขาในผลงานดราม่าของ จิม เชอริเดนในปี 1990 เรื่อง The Field ซึ่งเขาแสดงคู่กับริชาร์ด แฮร์ริส ในปี 1992 เขาร่วมแสดงกับ แฮริสัน ฟอร์ดในบทของพวกผู้ก่อการร้ายที่แสวงหาเบาะแสการตายของน้องชายของเขาในภาพยนตร์เรื่อง The Patriot Game
และในปีต่อมา บีนได้รับบทที่กลายเป็นเหมือนตราประทับสำหรับตัวเขาเมื่อเขาได้รับเลือกให้แสดงในผลงานสุดรักของนักเขียน เบอร์นาร์ด คอร์นเวลล์ ในเรื่อง Napoleonic Wars ผลงานของ ริชาร์ด ชาร์ปภาพยนตร์ทางจอโทรทัศน์เรื่อง Sharpe’s Rifles ซึ่งเป็นเหมือนนวนิยายที่นำมาเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ในปี 1993 พิสูจน์ความนิยมทำให้มีตอนต่อมาอีกถึง 14 ตอนในช่วงระหว่างปี 1994 และ ปี 1997 และทำให้บีนมีแฟน ๆ จากหลาย ๆ ประเทศ
เขายังทำงานภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องและยังรวมไปถึงผลงานสร้างชื่อคือเรื่อง James Bond ตอน Golden Eye เรื่อง Anna Karenia เรื่อง Ronin เรื่อง Essex Boys เรื่อง Tom & Thomas เรื่อง Equilibrium และเรื่อง The Big Empty
ในปี 2002 บีนยังได้รับชัยชนะกับการกลับมาแสดงละครเวทีเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีโดยได้รับบทนำในบทบาทละครของเช็คสเปียร์ คือเรื่อง Macbeth ที่โรงละคร ลอนดอน เวสต์เอนด์
สตีฟ บูสเซมี่ (แม็คคอร์ด) เป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัล ซึ่งได้รับการยกย่องสำหรับผลงานของเขาในฐานะนักเขียนและผู้กำกับการแสดง ในปี 2002 เขาได้รับถึงสองรางวัลคือ รางวัล Independent Spirit และรางวัล AFI Film Awards และยังได้รับการเสนอชื่อเข้ารับลูกโลกทองคำในฐานะนักแสดงสนับสนุนชายยอดเยี่ยมสำหรับการแสดงของเขาซึ่งเป็นผลงานของ เทอร์รี่ ซวิกอฟฟ์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอมเมดี้ ดราม่าเรื่อง Ghost World ผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงสนับสนุนชายยอดเยี่ยมจากกลุ่มวิจารณ์ภาพยนตร์รวมทั้งรางวัล New Yor Film Critics รางวัล Chicago Film Critics และรางวัล National Society of Film Critics
บูสเซมี่ยังได้รับเกียรติสำหรับผลงานทางจอแก้วของเขาโดยได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลเอมมี่สำหรับบทบาทของ โทนี่ บลันเดตโต้ในซีรีส์ ทางช่อง เอชบีโอ เรื่อง Sopranos และยังได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Screen Actors Guild Award สำหรับ Outstand Ensemble ในซีรีส์ดราม่า โดยได้รับรางวัลนี้ร่วมกับทีมงานนักแสดง
เขาเป็นหนึ่งในดาราที่มีความสามารถ บูสเซมี่ยังได้ร่วมแสดงภาพยนตร์มามากกว่า 90 เรื่อง จากภาพยนตร์อิสระเล็ก ๆ ถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของบล๊อคบัสเตอร์ เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ร่วมงานกับทีมงานภาพยนตร์ The Island ซึ่งกำกับการแสดงโดยไมเคิล เบย์ในเรื่อง Armageddon และยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์แอ๊คชั่นยอดนิยมเรื่อง Spy Kids 2: Island of Lost Dreams และเรื่อง Spy Kids 3-D: Game Over ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้กำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต โรดริงเกซ; ผลงานการสร้างของ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ เรื่อง ConAir; และผลงานของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่อง Escape from L.A. เขายังได้รับการกล่าวขวัญจากผลงานของเขาในภาพยนตร์อิสระหลายเรื่องรวมถึงรางวัล Independent Award จากการแสดงของเขาที่แสดงเป็น มิสเตอร์ พิงค์ ในผลงานของ เควนโต้ ทาแรนติโน่ เรื่อง Reservoir Dogs; ผลงานของ จิม จาร์มัสช์เรื่อง Mystery Train ซึ่งทำให้เขาได้การเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Spirit Award อีกครั้งหนึ่ง; ผลงานของทิม เบอร์ตันเรื่อง Big Fish; ผลงานของ พี่น้อง โคเอ็น เรื่อง Fargo; ผลงานของ ทาเรนติโน่ เรื่อง Pulp Fiction; ผลงานของ ทอม ดิซิลโล่เรื่อง Living in Oblivion; และผลงานของ อเล็กซานเดอร์ ร๊อคเวลล์เรื่อง In the Soup ซึ่งผลงานเหล่านี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ผลงานภาพยนตร์อีกมากมายของเขายังรวมไปถึงงานทางช่อง เอชบีโอคือเรื่อง The Laramie Project การ์ตูนยอดนิยมเรื่อง Monsters, Inc. เรื่อง Mr. Deeds เรื่อง The Grey Zone เรื่อง 28 Days เรื่อง The Big Lebowski เรื่อง The Wedding Singer เรื่อง Desperado เรื่อง Things to Do in Denver When You’’re Dead เรื่อง The Hudsucker Proxy เรื่อง Billy Bathgate และเรื่อง Miller’s Crossing ผลงานที่กำลังจะออกฉายของเขารวมไปถึงเรื่อง Romance & Cigarettes เรื่อง Art School Confidential และเรื่อง Monster House และเขายังจะเป็นผู้ให้เสียงของ หนู เท็มเปิ้ลตั้นในผลงานภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Charlotte’s Web
เบื้องหลังกล้องนั้น บูสเซมี่ได้รับการยอมรับจากผลงานของเขาในฐานะนักเขียนและผู้กำกับการแสดง ผลงานเรื่องแรกของเขาเป็นภาพยนตร์สั้นชื่อว่า What Happened To Pete ซึ่งได้รับการฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์หลายต่อหลายงานรวมทั้งที่ ร๊อตเตอร์ดัม และ โลคาร์โน่และยังได้ออกอากาศทางช่อง บราโว่ เน็ทเวิร์ค เขาเริ่มงานกำกับการแสดงเรื่องแรกคือเรื่อง Trees Lounge ซึ่งเขาเป็นผู้เขียนและร่วมแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เริ่มเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ปี 1996 และได้เข้าอยู่ใน Directors’ Fortnight และยังทำให้ บูสเซมี่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Independent Spirit Award ถึงสองรางวัลคือ ภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยม ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาคือเรื่อง Animal Factory ซึ่งนำเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของ เอ็ดเวิร์ด บังเกอร์ซึ่งได้รับการเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ที่ ซันแดนซ์ ปี 2000 ผลงานการกำกับการแสดงเรื่องล่าสุดของเขาคือเรื่อง Lonesome Jim ซึ่งได้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2005 นอกจากนี้ บูสซามี่ยังได้รับรางวัลเอมมี่ และการเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Director Guild of America (DGA) สำหรับผลงานของเขาเรื่อง Fineean’’s Wake ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ เรื่อง Homicie: Life on the Street
ไมเคิล คาร์ค ดันแคน (สตาร์คเวเธอร์) ได้เริ่มงานอาชีพการแสดงในบทบาทที่ยากจะลืมเลือนโดยแสดงเป็น จอห์น โคฟีย์ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากนิยายของสติเฟ่น คิงส์ ผลงาน แฟรงค์ ดาราบอนท์เรื่อง The Green Mile ซึ่งเขารับบทเป็นคนตัวยักษ์ซึ่งได้รับการกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรทั้งที่ตัวเขาไม่ได้ผิด ดันแคนได้รับรางวัลในฐานะนักแสดงสนับสนุนชายหลายต่อหลายรางวัลรวมไปถึง การเสนอชื่อเข้ารับรางวัลอคาเดมี่ อวอร์ด การเสนอชื่อเข้ารับรางวัล ลูกโลกทองคำ การเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Screen Actors Guild (SAG) Award การเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Image Award และรางวัล Critics’ Choice Award จาก The Broadcast Film Critics เขายังได้การขนานนามว่าเป็น The Male Star of Tomorrow ในงาน 2000 Sho West Convention นอกจากนั้นดันแคนยังได้ร่วมเสนอชื่อเข้ารับรางวัล SAG Award ซึ่งได้รับสำหรับทีมงานแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง The Green Mile
ผลงานของดันแคนเมื่อไม่นานมานี้ โดยได้ร่วมแสดงกับ บรู๊ซ วิลลิซในภาพยนตร์คิดค้นแนวดราม่าเรื่อง Sin City ซึ่งกำกับการแสดงโดย โรเบิร์ต โรดริงเกรซ ซึ่งเป็นเรื่องมาจากนิยายกราฟฟิคของ แฟรงค์ มูลเล่อร์ นับว่าเป็นการร่วมงานกับ บรู๊ซ วิลลิซเป็นครั้งที่สามของดันแคนตามมาด้วยภาพยนตร์อาชญากรรมคอมเมดี้เรื่อง The Whole Nine Yards และภาพยนตร์ ไซไฟของบล๊อคบัสเตอร์เรื่อง Armageddon ซึ่งกำกับการแสดงโดบ ไมเคิล เบย์ มันคือวิลลิซที่บอกให้ผู้กำกับการแสดง แฟรงค์ ดาราบอนท์เพื่อเสนอให้ดันแคนรับบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง The Green Mile หลังจากที่เขาได้ร่วมงานกันจากภาพยนตร์เรื่อง Armageddon
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ของดันแคนยังรวมไปถึงภาพยนตร์คอมเมดี้อิสระเรื่อง D.E.B.S. เรื่อง Daredevil โดยแสดงร่วมกับ เบน เอฟเฟลค และเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ภาพยนตร์เรื่อง Scorpion King แสดงร่วมกับ เดอะ ร๊อค; ผลงานของทิม เบอร์ตันเรื่อง The Planet of the Apes ร่วมแสดงกับ มาร์ค วาห์เบิร์ก; เรื่อง See Spot Run; เรื่อง A Night at the Roxbury; และผลงานของ วอเรนน์ เบ็ตตี้เรื่อง Bulworth
ด้วยเสียงที่ห้าวลึกของเขา ดันแคนยังเป็นหนึ่งในผู้ให้เสียงที่มีงานมากที่สุดในวงการคนหนึ่ง เราจะได้ยินเสียงของเขาจากภาพยนตร์เรื่อง Racing Stripes เรื่อง Delgo เรื่อง Dinotopia: Quest for the Ruby Sunstone เรื่อง Brother Bear เรื่อง George of the Jungle 2 และเรื่อง Cats & Dogs
ผลงานทางจอแก้วนั้น เขาได้ร่วมแสดงรับเชิญในซีรี่ส์หลายเรื่อง และเรื่องล่าสุดของเขายังรวมไปถึง เรื่อง George Lopez และ เรื่อง CSI:NY
ทีมงาน
ไมเคิล เบย์ (ผู้กำกับการแสดง/ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นหนึ่งในผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์แนวแอ๊คชั่นที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของวงการ เขาได้เป็นผู้นำการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bad Boy II ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงฤดูร้อน ปี 2003 และทำรายได้จากบ๊อกซ์ออฟฟิศมากกว่า 270 ล้านเหรียญจากทั่วโลก โดยได้ร่วมงานกับ วิลล์ สมิธและ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ห้าของเบย์ในการร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์
เบย์เริ่มงานการกำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1995 จากภาพยนตร์เริ่มแรกคือเรื่อง Bad Boys ซึ่งทำให้วิลล์ สมิธและ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ กลายเป็นดาราภาพยนตร์แอ๊คชั่นและเป็นการร่วมงานอย่างประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงระหว่างเบย์และ บรั๊คไฮเมอร์ และในปีต่อมาเบย์ยังได้รับความสำเร็จเพิ่มมากขึ้นสำหรับภาพยนตร์แอ๊คชั่นฟอร์มยักษ์เรื่อง The Rock ซึ่งแสดงนำโดย ชอน คอนเนอรี่ นิโคลลาส เคจ และ เอ็ด แฮร์ริส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมและการวิพากวิจารณ์และทำรายได้เกินกว่า 335 ล้านเหรียญจากทั่วโลกและได้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สุดยอดฮิตของปี 1996
โดยได้รับความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เบย์ได้ร่วมงานกับบรั๊คไฮเมอร์ เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง Armageddon ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องที่เบย์ได้ร่วมงานกับผู้เขียนคือ โจนาธาน เฮลสเลห์ นำแสดงโดย บรู๊ซ วิลลิส เบน เอฟเฟล็ก บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตั้น และ ลิฟ ไทเลอร์ ภาพยนตร์เรื่อง Armageddon ทำรายได้มากกว่า 550 ล้านเหรียญจากทั่วโลกและเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดของโลกในปี 1998 และทำให้เบย์เป็นหนึ่งในผู้กำกับการแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่ทำภาพยนตร์ทำรายได้รวมกันแล้วถึงพันล้านเหรียญ
ต่อมาเบย์ได้เริ่มเหตุการณ์ที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์เมื่อเขากำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง Pearl Harbor ซึ่งเขาได้ร่วมอำนวยการสร้างกับ บรั๊คไฮเมอร์ ตำนานของความรักด้วยน้ำตาและสงคราม ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงนำโดย เบน เอฟเฟล็ก จอช์ ฮาร์ทเน็ทท์ เคธ เบคอินเซล จอน วอยท์และ อเล็ค บอลวิน ภาพยนตร์เรื่อง Pearl Harbour ได้รับความนิยมท่ามกลางผู้ชมรุ่นเยาว์และทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่สองและทำรายได้รวมแล้วกว่า 450 ล้านเหรียญ และในทุกวันนี้ยังเป็นดีวีดีที่ขายดีที่สุดตลอดเวลาอีกด้วย
เขาเป็นคนลอสเองเจิ้ลลิส โดยกำเนิด เบย์สำเร็จการศึกษาจากโปรแกรมทางภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัย Wesleyan University และยังได้เรียนที่วิทยาลัย Pasadena’s Art Center College of Design เขาเริ่มงานจากงานทำมิวสิควิดีโอ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาได้รับการจ้างจากบริษัท พรอพโพกันด้า ฟิลม์ ซึ่งเขาได้กำกับการแสดงวิดีโอที่ได้รับรางวัลสำหรับศิลปินวง แอโรสมิธ ทีน่า เทิร์นเนอร์ มีท โลฟ และ ดี ไวนิลส์
โดยค่อย ๆ เริ่มงานจากภาพยนตร์ โฆษณา เบย์ชนะเลิศรางวัล คลีโอ อวอร์ดจากผลงานโฆษณาทางโทรทัศน์เรื่องแรกของเขาสำหรับ กาชาดอเมริกัน เขายังได้กำกับการแสดงในโฆษณาบางเรื่องที่ได้เห็นกันทั่วไปและเป็นที่จดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งโฆษณาของ ไนกี้ บัดไวเซอร์ ลีวายส์ บูเกิ้ล บอย โคคา-โคล่า อิซูสุ มิลเลอร์ รถยนต์เมอร์ซิเดส และเรื่องล่าสุดคือแคมเปญของ วิคตอเรีย ซีเคร็ท บางที่โฆษณาที่ได้รับเกียรติมากที่สุด — และท่างกลางการลอกเลียนแบบ — คืองานแคมเปญโฆษณาชื่อ Got Milk? ซึ่งเบย์เป็นผู้คิดสร้างสรรค์ขึ้น เขาได้รับรางวัล กรังปรีซ์ คลีโอ สำหรับภาพยนตร์โฆษณาแห่งปีสำหรับเรื่อง Got Milk?/Aaron Burr ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบโฆษณายอดนิยมจากนิตยสาร USA Today และ ช่องประวัติศาสตร์ เบย์ยังได้รับรางวัล Museum of Modern Art Award สำหรับแคมเปญยอดเยี่ยมแห่งปี และเมื่อเขาอายุได้ 26 ปี เบย์ชนะเลิศรางวัลหลัก ๆ ทุกรางวัลของภาพยนตร์โฆษณา รวมไปถึง อีกหลายรางวัล สิงโตเงินและทองที่เมือง คานส์และรางวัล Directors Guild of America Award สำหรับ Outstanding Directorial Achievement สำหรับภาพยนตร์โฆษณา
เมื่อไม่นานมานี้ เบย์ยังได้เริ่มสร้าง บริษัทสร้างภาพยนตร์ชื่อ แพลตินั่ม ดูนส์ ซึ่งออกแบบเพื่อสร้างสรรค์ ภาพยนตร์ที่มีงบจำกัดเพื่อช่วยให้ผู้กำกับการแสดงหน้าใหม่ได้เริ่มงานในวงการภาพยนตร์ ภาพยนตร์ภายใต้การผลิตของบริษัท แพลตินั่ม ดูนคือ ภาพยนตร์สยองขวัญที่นำมาจินตนาการใหม่เรื่อง The Texas Chainsaw Massacre ซึ่งเบย์ได้กำกับการแสดง ผลงานการสร้างเรื่องต่อมาของบริษัท แพลตินั่ม ดูนส์ ซึ่งกำกับการแสดงโดยเบย์นั้นเป็นผลงานคลาสสิคที่นำกลับมาทำใหม่ เรื่อง The Amityville Horror ซึ่งออกฉายเมื่อต้นปีนี้ เรื่องต่อมาคือเรื่อง The Hitcher และยังจะมีผลงานอีกสี่เรื่องที่กำลังจะตามมาซึ่งเป็นของบริษัท แพลตินั่ม ดูนส์ อีกด้วย
เมื่อเร็ว ๆ นี้เบย์ยังได้ช่วยในก่อตั้ง สถาบันผลิตภาพยนตร์โฆษณาและมิวสิควิดีโอ ชื่อว่า The Institute for the Development of Enhanced Perceptual Awareness ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้กำกับการแสดงหลายต่อหลายท่าน
วอลเตอร์ เอฟ ปาร์คส์ (ผู้อำนวยการสร้าง) และ ลอว์รี่ แม๊คโดนัล (ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) เป็นสองผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่มีผลงานมากที่สุดของวงการ ต่อจากผลงานภาพยนตร์เรื่อง The Island พวกเขายังจะมีผลงานออกมาอีกรวมถึงเรื่อง The Legend of Zorro ซึ่งเป็นภาคต่อมาของภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง The Mask of Zorro และทำให้ อันโตนิโย แบนเดอราสและ แคทเธอรีน ซีต้า-โจนส์ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง; และภาพยนตร์โรแมนติค คอมเมดี้เรื่อง Just Like Heaven ซึ่งแสดงนำโดย รีซ วิธเตอร์สปูน และ มาร์ค รัฟฟาโน่และเป็นผลงานการกำกับการแสดงของ มาร์ค วอเตอร์ส
(ยังมีต่อ)