เงินนำส่งเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยแก้ไขภาระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

ศุกร์ ๒๐ มกราคม ๒๐๑๒ ๑๔:๒๖
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555 สมาคมธนาคารไทยได้จัดการประชุมระหว่างธนาคารสมาชิก เพื่อพิจารณาผลกระทบจากร่าง พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 ซึ่งจากข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน และจากการหารือกับทางการสรุปสาระสำคัญได้ว่า วัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. ฉบับนี้ก็เพื่อแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินให้กองทุนฯ ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยเมื่อรวมอัตราเพิ่มเติมดังกล่าวกับอัตราที่ธนาคารนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบันร้อยละ 0.4 แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง

สมาคมธนาคารไทยมีความเห็นว่า การแก้ไขหนี้ซึ่งคั่งค้างมาเป็นเวลานานจำนวนนี้ ให้เกิดความชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี และหนี้จำนวนนี้ควรถือเป็นภาระของประเทศที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไข จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้ ในส่วนของสมาคมธนาคารไทยนั้น ธนาคารสมาชิกต่างก็มีความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และจะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นธรรม

การที่ร่าง พ.ร.ก. กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ รวมกับที่นำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก โดยมิได้ระบุว่าจะมีแหล่งเงินอื่นใดเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย แต่กำหนดให้ธนาคารต่างๆ รับภาระเพียงฝ่ายเดียว สมาคมฯ เห็นว่าไม่ยุติธรรม และจะเป็นผลเสียกับประเทศในระยะยาว ด้วยเหตุผลดังนี้

1. ความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จำนวน 1.4 ล้านล้านบาท กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของทางการในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นว่า ธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มิได้มีส่วนในการสร้างความเสียหายดังกล่าว แม้ว่าจะมีบางธนาคารได้รับความช่วยเหลือจากทางการในช่วงเวลานั้น แต่ในที่สุดแล้ว ทางการก็ได้รับชำระคืนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น จากการนำเงินส่งกองทุนฟื้นฟูฯ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาโดยตลอด รวมทั้งภาษีเงินได้ นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินฝากและอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับคืนมาได้

สำหรับธนาคารส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ต่างก็แก้ไขปัญหาของตนเองโดยมิได้ขอรับความช่วยเหลือจากทางการ ทั้งโดยการเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ โดยการขายทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อนำมาเพิ่มทุน หรือโดยการขายหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนจากต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์มิได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเสียหายดังกล่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น การกำหนดให้มีการเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อนำไปชำระหนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า เนื่องจากธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ก่อหนี้ขึ้น หรือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากหนี้ดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริง และไม่ยุติธรรม

2. ในปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ในไทยต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ 0.4 อยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราที่อยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโลก และสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ผลของการเรียกเก็บเงินในอัตราที่สูงอยู่แล้วเช่นนี้ หากมีการเรียกเก็บเพิ่มเติมขึ้นอีกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นการซ้ำเติม และสร้างความอ่อนแอให้กับธนาคารพาณิชย์ของไทยในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ต้องเสียเปรียบสถาบันการเงินในต่างประเทศมากขึ้น

และยิ่งในช่วงต่อไป ระบบการเงินในอาเซียนจะมีการเปิดเสรีมากขึ้นภายใต้ AEC เงินนำส่งดังกล่าว จะเป็นอุปสรรค เป็นภาระสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ทั้งในประเทศ ในเวทีภูมิภาค และในเวทีโลก

3. การเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้สภาพการแข่งขันของระบบสถาบันการเงินในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์เอกชนและสถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จะมีความเหลื่อมล้ำ ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากขึ้น เพิ่มความบิดเบือนในระบบ เนื่องจากในปัจจุบัน การที่สถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ ไม่มีภาระต้องนำส่งเงินคุ้มครองเงินฝาก ทำให้มีความได้เปรียบ และสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากแก่ประชาชนในอัตราที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชน ด้วยเหตุนี้ ฐานเงินฝากของสถาบัน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จึงสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และมีการอำนวยสินเชื่อที่มิใช่ภารกิจหลักของตนแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม

ความเหลื่อมล้ำและความบิดเบือนที่จะเพิ่มขึ้นนี้ จะสร้างความไม่เป็นธรรม บั่นทอน ทำลายการแข่งขันในระบบ และทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ ในระยะยาว

ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมาคมธนาคารไทย จึงมีความเห็นว่า การทิ้งปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ โดยมิได้มีการจัดการอย่างชัดเจน จะเป็นผลเสียต่อเสถียรภาพของระบบการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้น จึงสนับสนุนให้มีการแก้ไขโดยเร็ว แต่การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม ว่าจะมีแหล่งเงินใดบ้าง และจะแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นธรรมอย่างไร จึงจะเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยมีความยินดีที่จะมีส่วนร่วมรับภาระกับภาคส่วนอื่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version