นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกน่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยความเสี่ยงสำคัญที่จะมาฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็คือปัญหาหนี้ในยุโรป ที่ยังคงต้องติดตามถึงความชัดเจนเกี่ยวนโยบายที่จะนำมาใช้แก้ไขปัญหาหนี้ภาครัฐที่อยู่ในระดับสูง ด้านเศรษฐกิจเอเชียยังคงเป็นแรงหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ปีนี้เศรษฐกิจเอเชียน่าจะยังคงเติบโตในระดับที่ดี แม้ว่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากภาคส่งออกไปยังสหรัฐและยุโรปที่ชะลอตัวลง แต่ด้วยเศรษฐกิจเอเชียมีแรงผลักดันมาจากการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก จึงทำให้อัตราการขยายตัวยังคงเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Dr.Kampon Adireksombat, Senior Economist, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปี 2555นี้คาดว่าจะชะลอตัวลง โดยปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าความไม่แน่นอนในยุโรปจะมีค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศ กรีซ อิตาลี และ สเปน จะมีการชำระหนี้คืนค่อนข้างมาก นอกจากนั้นภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปจะต้องเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Tier-1 capital ratio) ให้ได้ 9% ตามที่ European Banking Authority กำหนดอีกด้วย ทั้งนี้จากตัวเลขประมาณการล่าสุดของทาง International Monetary Fund (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจยุโรปในปี 2555 จะหดตัว 0.5%
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2555น่าจะยังคงอัตราการเติบโตในระดับต่ำต่อไป แม้อัตราการว่างงานล่าสุดลดลงมาอยู่ในระดับ 8.5% แต่ยังไม่ได้ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจอื่น เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยทาง IMF คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ 1.8% สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีนี้น่าจะมีการฟื้นตัวได้จากการหดตัวของเศรษฐกิจในปีที่แล้วซึ่งได้รับผลกระทบจาก Supply disruption จากเหตุการณ์ Tsunami ในญี่ปุ่น และภาวะน้ำท่วมในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะอยู่ในระดับต่ำ โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นปี 2555 จะขยายตัวได้ 1.7%
ด้านเศรษฐกิจจีนในปี 2555 ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลดลง น่าจะทำให้การส่งออกของจีนชะลอลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม IMF คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะยังคงเติบโตได้ในระดับ 8.2% นอกจากนั้น ด้วยแนวโน้มเงินเฟ้อในจีนที่ลดลง โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ระดับ 4.1% ซึ่งใกล้เคียงกับกรอบเงินเฟ้อของทางการจีนที่ 4% ดังนั้น จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ ธนาคารกลางจีนจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Head of Wealth Advisory, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) กล่าวว่า จากแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย ของธนาคารกลางในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงไทยด้วยนั้น จะส่งให้ทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อจากนี้อยู่ในช่วงขาลง ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) รวมถึงการเงินฝาก อาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่จูงใจเท่าที่ควร ดังนั้นหากผู้ลงทุนต้องการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี ควรให้น้ำหนักไปที่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ได้แก่ หุ้นและทองคำ เป็นต้น
ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นนั้น ยังคงแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นหลัก เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับตลาดหุ้นจีน เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว ถือว่าเป็นตลาดที่ถูกที่สุดและมี Upside สูงที่สุดมากกว่า 50% โดยคาดว่า P/E ตลาดหุ้นจีนปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณ 8 เท่า มาอยู่ที่ระดับมากกว่า 12 เท่า สำหรับการลงทุนในทองคำนับเป็นอีกทางเลือกที่ดี เนื่องจากความต้องการทองคำในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ที่หันการถือครองเงินสกุลดอลลาร์สรัฐฯ มาเป็นทองคำ เพื่อใช้เป็นทุนสำรอง อีกทั้งทองคำยังมีคุณสมบัติที่ดีคือช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
นายสาห์รัช กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว บลจ.ทิสโก้ จึงประเมินว่าในตอนนี้นับเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่นักลงทุนจะทำการเพิ่มพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) โดยเฉพาะประเทศจีน เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของจีนยังมีการขยายตัวในอัตราที่สูง และปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลายอย่างชัดเจน นโยบายการเงินจะกลับมาผ่อนคลายหลังจากเข้มงวดมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มที่ดี และเหมาะที่นักลงทุนจะเลือกเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน
ล่าสุด บลจ.ทิสโก้ ได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 10% # 3” (TISCO China Trigger 10% Fund # 3) อายุโครงการประมาณ 1 ปี มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ประเภทกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI)
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวจะเลิกโครงการก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 10% หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.0000 บาท โดยจะเสนอขายตั้งแต่วันนี้ -1 ก.พ. 55 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท โดยผู้สนใจกองทุนดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
" เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ "
“เนื่องจากกองทุนมีการกำหนดเงื่อนไขการเลิกกองทุนก่อนกำหนด ผู้ลงทุนควรตระหนักว่า การกำหนดอัตราผลตอบแทนในเงื่อนไขการเลิกกองทุนก่อนกำหนด มิได้เป็นการรับประกันหรือทำให้คาดหวังว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามอัตรานั้น”
ขอบคุณสำหรับการเผยแพร่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 633 6000 กด 4