นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงจากคู่ค้า โดยเฉพาะเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 ที่ทำให้นักธุรกิจตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจประกันภัยธุรกิจ (K-Bancassurance) ในปี 2554 มีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่รวมเติบโตขึ้น 37%
สำหรับในปี 2555 ตลาดประกันธุรกิจโดยรวมยังมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการบรรเทาความเสียหายจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจหลังน้ำท่วม อัตราดอกเบี้ยทรงตัว ทำให้บริษัทต่าง ๆ จะหันมาทำประกันภัยเพิ่ม ซึ่งส่งผลให้การประกันภัยทั้งระบบในประเทศไทยคาดว่าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
อย่างไรก็ตาม จากมหันตภัยที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยที่ต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายเป็นจำนวนมาก รวมถึงประเทศไทยที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงด้านมหันตภัยสูง ทำให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ประกันภัยน้ำท่วม เป็นที่ต้องการของลูกค้าสูงเกินกว่าที่ตลาดจะรองรับได้ เนื่องจากบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อหรือรีอินชัวเรอร์มีการจำกัดการขาย นอกจากนี้การทำประกันธุรกิจในปีนี้ลูกค้ายังอาจจะต้องพบกับการจำกัดความคุ้มครองและเบี้ยประกันที่คาดว่าจะสูงขึ้น
ดังนั้น ในปีนี้ธนาคารกสิกรไทย จึงได้เตรียมความพร้อมด้านประกันภัยสำหรับธุรกิจอย่างครบด้าน เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำของประกันภัยธุรกิจผ่านช่องทางธนาคาร โดยชูกลยุทธ์ 3 ด้านหลัก ๆ ดังนี้ 1. การมีผลิตภัณฑ์ที่ครบถ้วนสามารถตอบสนองทุกความเสี่ยงของผู้ประกอบการทั้งประกันชีวิตและวินาศภัย 2. มีช่องทางการให้บริการที่ครอบคลุม ผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้า (RM) ศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ และศูนย์บริการธุรกิจ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และ 3. ทีมงานที่เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาด้านประกันภัย และผลิตภัณฑ์การเงินต่าง ๆ แก่ลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ด้วยบริการที่ครบครัน
ธนาคารกสิกรไทย ได้ตั้งเป้าเบี้ยประะกันภัยสำหรับลูกค้าธุรกิจในปี 2555 เติบโต 45% หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม ประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยจะเน้นรักษาความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ (Credit Life Insurance) พัฒนาสิทธิประโยชน์เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าเพิ่มเติม อาทิ การรวมค่าเบี้ยประกันในวงเงินสินเชื่อ (Top Up Loan) ทำให้ลดภาระการจ่ายค่าเบี้ยประกัน การเพิ่มความคุ้มครองโรคร้ายแรง ตลอดจนการพัฒนาแบบประกันประเภทออมทรัพย์ นอกจากนี้ยังรุกตลาดประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance) เพิ่มขึ้น ด้วยการเพิ่มพันธมิตรบริษัทประกันภัย เพื่อให้สามารถรองรับงานที่มีความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะประกันภัยธรรมชาติที่คาดว่าเบี้ยประกันภัยจะเพิ่มขึ้นและมีการจำกัดความคุ้มครอง (Sublimit) 10-30% ของทุนประกัน สูงสุด 50 ล้านบาท
ธนาคารฯ ยังคงมุ่งเน้นการประกันภัยลูกหนี้ทางการค้า (Trade Credit Insurance) ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มเห็นความสำคัญของการซื้อความคุ้มครองที่เกิดจากลูกหนี้ทางการค้าไม่ชำระหนี้ หรือลูกหนี้ล้มละลาย โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดไว้ 21% หรือคิดเป็นมูลค่า 30,000 ล้านบาท และการประกันการขนส่งสินค้า (Marine Cargo Insurance) ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง ยางพารา และเหล็ก โดยในปี 54 มีการเติบโตกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังได้เตรียมบุกตลาดประกันภัยอื่น ๆ ที่ครอบคลุมและเหมาะสมกับประเภทธุรกิจของลูกค้า อาทิ การประกันภัยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (Product Liability) การประกันภัยวิศวกรรม (Engineering Insurance)
นายทรงพล กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากธนาคารกสิกรไทย จะมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ครบถ้วน พร้อมทีมงานที่มีศักยภาพและมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ธนาคารฯ ยังสร้างความแตกต่างในตลาด คือ การให้คำแนะนำที่ครบถ้วนและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า เช่น ในช่วงน้ำท่วมได้จัดทีมที่ปรึกษาด้านการ เคลมประกันภัยให้บริการฟรีสำหรับลูกค้าธนาคาร แม้จะไม่ได้ทำประกันภัยกับธนาคาร ทั้งด้านประกันภัย และการให้คำปรึกษาด้านการเงินด้วยมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ที่จะช่วยให้วงจรธุรกิจของลูกค้าดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น โดยตั้งเป้าให้ประกันภัยธุรกิจอยู่ในใจของผู้ประกอบการและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลูกค้าบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อลดภาระทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากทุกความเสี่ยงที่มากระทบกับธุรกิจ