รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า การปรับโครงสร้างในครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพด้านบุคลากร รวมถึงการเพิ่มหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรมได้อย่างครอบคลุม อย่างเช่นศูนย์โบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร ในแต่ละปีได้มีการสำรวจโบราณวัตถุใต้น้ำได้เพียงแค่ ๓ แห่ง จากที่มีอยู่มากมาย อีกทั้งยังต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ในการสำรวจอีกด้วย ดังนั้น จึงต้องเพิ่มบุคลากรเพื่อลงไปสำรวจในเรื่องดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น เพราะประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งมรดกที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้
“นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานหรือบุคลากรไปประจำที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเสนโก) เพื่อประสานงาน เป็นผู้ให้ข้อมูล หรือชี้แจงทันกับเหตุการณ์ความเป็นไปในเวทีระดับนานาชาติ และเสนอให้มีการจดทะเบียนทรัพย์สินทางภูมิปัญญาไทย อย่างเช่น การอนุรักษ์นิทานพื้นบ้านที่ควรมีอยู่ต่อไป การตรวจสอบศูนย์อาหารต่างๆ ที่ตอนนี้มีชาวต่างชาติเข้ามาประกอบอาชีพโดยขึ้นป้ายว่าเป็นร้านอาหารไทย จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพี้ยนไป รวมทั้งการอนุรักษ์ด้านความรู้เกี่ยวกับงานช่างต่างๆ อย่างเช่นงานช่างสิบหมู่ เพราะปัจจุบันถือว่าบุคลากรทางด้านดังกล่าวยังมีอยู่น้อย”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว