“รายงานภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ประจำสัปดาห์”

เสาร์ ๑๙ มีนาคม ๒๐๐๕ ๑๕:๒๔
กรุงเทพฯ--21 มี.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน—มาร์สเตลเลอร์
ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางในเอเชียจะมีนโยบายแตกต่างกัน
เลแมน บราเดอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนระดับโลกเผยว่า การสะสมเงินทุนสำรองในเอเชียมากเกินไปจะไม่ส่งผลดี ทั้งนี้ ความพยายามทำให้ค่าเงินต่ำกว่าความเป็นจริงโดยการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในหลายด้าน อาทิ การกีดกันทางการค้า ไม่สามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศได้ และ ทำให้ต้นทุนในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น
บทวิเคราะห์
สาเหตุหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ คือ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในเอเชียมิได้ผูกค่ากับเงินสกุลเหรียญสหรัฐทุกประเทศ อย่างไรก็ตาม เลแมน บราเดอร์ส คาดการณ์ว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจาก การลงทุนของธนาคารกลางคิดเป็นมูลค่าเพียง 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเอเชียที่เพิ่มขึ้นรวม 535,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง นั่นหมายความว่า การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศในเอเชียในปีที่ผ่านมามีมูลค่า 475,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทั้งหมดของภูมิภาคเอเชียที่มีมูลค่าประมาณ 360,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยธนาคารกลางบางประเทศในเอเชียที่ใช้เงินออมในประเทศซื้อสินทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศสูงสุดยังเป็นประเทศที่ใช้เงินออมของทั่วโลกมาลงทุนใหม่ (recycler) รายใหญ่ ส่งผลให้ต้องมีการปรับสัดส่วนระหว่าง ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกกับความต้องการเงินลงทุนจาก ภายนอกของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ธนาคารกลางของจีนเป็นประเทศที่นำเงินออมมาลงทุนใหม่รายใหญ่ที่สุดเมื่อ ปีที่ผ่านมา โดยจีนมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2547 ขณะที่มีเงินทุนสำรอง เงินตราต่างประเทศ (ซึ่งปรับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการลงทุนใหม่) เพิ่มขึ้น 193,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากสมมติฐานที่ว่า ญี่ปุ่นมีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศใน สกุลเงินเหรียญสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียมีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ทำให้ เลแมน บราเดอร์ส ประเมินว่า เงินทุนสำรองเงินตรา ต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐทั้งหมดของภูมิภาคเอเชีย มีการปรับเพิ่มขึ้น 348,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลของสหรัฐอเมริกา
นโยบายร่วมกันของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชีย
นายอลัน กรีนสแปน ประธานผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “มีหลักฐานที่ไม่เด่นชัดว่า นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้สนับสนุน สมมติฐานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ชี้ว่า ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกในปี 2546 (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินทุนสำรองเงินตรา ต่างประเทศของภูมิภาคเอเชีย) มีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐสูงถึง 441,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 87 ของส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ข้อมูลของบีไอเอส ประจำปี 2547 ยังไม่นำออกเผยแพร่ สำหรับข้อมูลของกระทรวงการคลัง สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความทันสมัยมากกว่าแต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าระบุว่า นักลงทุนใน เอเชียได้ซื้อพันธบัตรสกุลเงินเหรียญสหรัฐคิดเป็นมูลค่าสุทธิ 359,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2547 ทั้งนี้แ เลแมน บราเดอร์ส เห็นว่า หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาสามารถบ่งชี้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้องแล้ว ตัวเลขดังกล่าวนี้น่าจะเป็นการประเมินมูลค่าเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐของประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในเอเชียคิดเป็นร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับปี 2546
อย่างไรก็ตาม เลแมน บราเดอร์ส ตั้งข้อสงสัยถึงนโยบายที่เห็นพ้องกันของธนาคารกลางของประเทศในเอเชียว่า หากยังคงมีนโยบายซื้อสินทรัพย์ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐต่อเนื่องต่อไป ธนาคารกลางเหล่านี้จะมีความเสี่ยงตลอดจนมีต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ได้แก่ ประการแรก ตราบเท่าที่ค่าเงินของประเทศในเอเชียยังมีค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนานเท่าใด ความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญปัญหาการกีดกันทาง การค้าจะเพิ่มขึ้นด้วย ประการที่สอง การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกลางจะมีความรุนแรงและ ยืดเยื้อมากขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบเพิ่มสูงขึ้น เพื่อรักษาสภาพคล่องให้คงเดิม ธนาคารกลางอาจ จำเป็นต้องขายหลักทรัพย์หรือประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักลงทุนภายในประเทศให้ซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนของตน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้ ต้นทุนของการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งกระตุ้นให้มีการไหลเข้าของเงินทุน และประการสุดท้าย การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียประสบความเสี่ยงต่อการสูญเสียอำนาจในการควบคุมระบบการเงินในประเทศได้
นอกจากนี้ ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการขาดทุนจากการซื้อขาย สินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐ โดยเกาหลีและไทยมีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 30 ของ จีดีพี ขณะที่จีนมีร้อยละ 37 มาเลเซียมีร้อยละ 58 ฮ่องกงมีร้อยละ 75 ไต้หวันมีร้อยละ 79 และสิงคโปร์มี ร้อยละ 109
ซึ่งหากธนาคารกลางของประเทศในเอเชียยังคงนำเงินออมทั่วโลกมาใช้ในการแก้ไขดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลของสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกับเมื่อปี 2547 จะส่งผลให้ธนาคารกลางต้องเผชิญความเสี่ยงกรณีสกุลเงินเหรียญสหรัฐลดค่าลงอย่างรุนแรง โดยเลแมน บราเดอร์ส ประเมินว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชียในช่วงปลายปี 2549 ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางของสิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน ต้องขาดทุนจากการซื้อขายสินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐมากกว่าร้อยละ 20 ของจีดีพี
สำหรับธนาคารกลางของประเทศขนาดเล็กในเอเชียซึ่งมีสิ่งจูงใจที่ดีที่สุดในการลดการสะสมสินทรัพย์ สกุลเงินเหรียญสหรัฐก็มีโอกาสประสบภาวะวิกฤติค่าเงินเหรียญสหรัฐมากที่สุดเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเพียงพอที่จะทำให้เกิดปัญหา แต่การกระจายการถือเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกเป็นเงินหลายสกุลด้วยการชะลอการสะสมสินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ธนาคารกลางของประเทศในเอเชียเริ่มมีนโยบายที่แตกต่างกัน เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างภาระให้แก่สมาชิกหลัก ซึ่งได้แก่ จีนและญี่ปุ่น
เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารเกาหลีประกาศแผนการกระจายการถือเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกเป็นเงินหลายสกุล ขณะที่ผู้บริหารของธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาคเอเชียได้มีการประชุมลับในประเทศไทยหลังจากที่เคยมีการหารือร่วมกันมาก่อนในฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียเริ่มจะได้รับผลกระทบจากการประชุมในรูปแบบดังกล่าวซึ่งมีแต่เสนอแนวคิด แต่ไม่มีแนวทางการปฏิบัติที่เป็นจริง ขณะที่ธนาคารกลางของประเทศขนาดเล็กบางแห่งพยายามพึ่งพาธนาคารกลางของประเทศขนาดใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไป ผูกติดกับสินทรัพย์สกุลเงินเหรียญสหรัฐที่มีความเสี่ยง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
อาซิแอม เบอร์สัน—มาร์สเตลเลอร์
วราพร สมบูรณ์วรรณะ
สาธิดา ศรีธัญญาธรณ์
โทร 0 2252 9871--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version