นวัตกรรม บุคลากรและการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือสามพลังขับเคลื่อนหลักเบื้องหลังการเติบโตของธุรกิจและความสำเร็จในประเทศไทยของพีแอนด์จี (พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล) บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเพิ่งจะได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ทำเนียบบริษัทฟอร์จูน 2012 ในอุตสาหกรรมสบู่และเครื่องสำอาง เตรียมฉลองครบรอบ 25 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเร่งสร้างความพร้อมและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่จะเกิดจากการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในวันที่ 1 มกราคม 2558
มร. ราอูล ฟอลคอน กรรมการผู้จัดการ พีแอนด์จี (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ไทยเป็นตลาดยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งของพีแอนด์จีในภูมิภาคนี้ และเรามองเห็นโอกาสที่จะเพิ่มบทบาทฐานผลิตในประเทศไทยของเรา เมื่ออาเซียนรวมกันเป็นตลาดเดียวที่มีประชากรรวมกันเกือบ 600 ล้านคนในเวลาอีกเพียงสามปี”
ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงานของพีแอนด์จีที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์รับหน้าที่เป็นฐานการผลิตระดับภูมิภาคที่ผลิตสินค้ากลุ่มดูแลเส้นผมและดูแลผิวส่งออกไปยังกว่า 30 ประเทศทั่วโลกอยู่แล้ว นับเป็นมูลค่าส่งออกกว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลก รวมถึงผู้บริโภคในตลาดที่มีมาตรฐานคุณภาพสูงสุดอย่างญี่ปุ่น
ผลการวิจัยตลาดของเอซีนีลเส็น (ม.ค.-ต.ค. 2554) แบรนด์สินค้าของพีแอนด์จี โดยเฉพาะดาวน์นี่ โอเลย์ แพนทีน และเฮดแอนด์โชว์เดอร์มีส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ
ตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวและมีการแข่งขันกันอย่างคึกคักในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยมีการเติบโตในอัตรา 20% ตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มในประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์) โดยมีดาวน์นี่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ขับเคลื่อนการเติบโตในเอเชีย
ธุรกิจของโอเลย์ในประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของไทยยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมีสัดส่วนกว่า 40% ของภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด
ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แบรนด์ของพีแอนด์จีในประเทศไทยมีการเติบโตในอัตรา 9% ในปี 2554 ครีมนวดผมแพนทีนในประเทศไทยเป็นผู้นำในอาเซียน โดยมีสัดส่วน 40% ของตลาดครีมนวดผมโดยรวมในอาเซียน ในขณะที่เฮดแอนด์โชว์เดอร์ก็มีตลาดที่ใหญ่ในประเทศไทย โดยคิดเป็น 42% ของตลาดอาเซียนโดยรวม ในขณะที่มีการเติบโตในอัตราเกือบ 15%
ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ครีมนวดผมและทรีทเมนต์ โดยมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดอาเซียนโดยรวม และมีการเติบโตในอัตรา 14%
ไทยเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจตลาดกำลังพัฒนาของพีแอนด์จี โดยความสำคัญของตลาดส่วนนี้ต่อธุรกิจ พีแอนด์จีทั่วโลกกำลังเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตลาดกำลังพัฒนามีสัดส่วนเพียง 27% ของยอดขายทั่วโลก แต่เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในรอบปีบัญชีปีที่ผ่านมา
มร. ฟอลคอน กล่าวว่า การที่ผู้บริโภคตอบรับผลิตภัณฑ์ของพีแอนด์จีอย่างดีเยี่ยม เป็นผลจากนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของบริษัท ในระดับโลก พีแอนด์จีลงทุนไปในการวิจัยและพัฒนาทั่วโลกปีละกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 6 หมื่นล้านบาท) โดยนับแต่ปี 2539 พีแอนด์จีมีสินค้า 132 ผลิตภัณฑ์อยู่ในรายชื่อสินค้า Pacesetters 25 อันดับแรก ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุด 6 รายรวมกัน
“พีแอนด์จีโดดเด่นเรื่องการลงทุนพัฒนานวัตกรรมและการวิจัย ไม่มีบริษัทไหนในตลาดอุปโภคบริโภค (Fast moving consumer goods) ที่ลงทุนด้านการวิจัยมากกว่าเรา แต่ละปี เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคกว่า 5 ล้านคนในเกือบ 100 ประเทศ ทำการศึกษาวิจัยกว่า 20,000 โครงการ และลงทุนมหาศาลเพื่อให้เข้าใจผู้บริโภค สร้างแบรนด์และนวัตกรรม นอกจากนั้น เรายังได้รับการยอมรับให้เป็นซัพพลายเออร์ที่ผู้ค้าปลีกชั้นนำอยากทำงานด้วย จากชื่อเสียงความสามารถในการนำสินค้าสู่ตลาดของเราภายใต้โปรแกรม Go-to-Market ซึ่งเป็นหลักประกันว่าสินค้าพีแอนด์จีไม่มีวันขาดตลาด ผู้บริโภคซื้อหาสะดวกทุกร้านค้าและเวลาที่ต้องการ” มร. ฟอลคอน กล่าว
เอเชียกำลังกลายเป็นแหล่งกำเนิดนวัตกรรมใหม่ๆ ของพีแอนด์จีที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน พีแอนด์จีมีศูนย์นวัตกรรมระดับโลกในทวีปเอเชียอยู่แล้ว 4 แห่ง โดยตั้งอยู่ในปักกิ่ง โกเบ สิงคโปร์ และ บังกาลอร์
มร.ฟอลคอน กล่าวว่า “สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันประสิทธิผลของโครงการพัฒนานวัตกรรมของเราก็คือ ทุกวันนี้ มีผลิตภัณฑ์ของพีแอนด์จีอยู่ 24 แบรนด์ที่ทำยอดขายต่อปีได้มากกว่า 30,000 ล้านบาท อาทิ แพนทีน เฮดแอนด์โชว์เดอร์ โอเลย์ เวลล่า บราวน์ ฟิวชั่น ยิลเลตต์ มัค3 ออรัล-บี ดาวน์นี่ ดูราเซล เฟบรีซ แอมบิเพอร์ แพมเพอร์ส เป็นต้น ซึ่งหลายแบรนด์เหล่านี้ ได้นำสู่ผู้บริโภคในตลาดประเทศไทยด้วย”
นอกจากนั้น พีแอนด์จียังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีโครงการพัฒนาบุคลากร บ่มเพาะ ผู้นำธุรกิจระดับโลกให้เติบโตจากภายในองค์กร
“เราอยากจะเป็นบริษัทที่คนอยากจะทำงานด้วย จึงให้ความสำคัญกับการจูงใจให้คนมาสมัครงาน จากนั้นก็พัฒนาและรักษาบุคลากรที่ดีที่สุดเอาไว้ ตามปรัชญา “สร้างคนจากภายใน” ที่เรายึดถือมาอย่างยาวนาน ทุกวันนี้ คนในเจนวายที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของอัตรากำลังทั้งหมดของพีแอนด์จี” มร. ฟอลคอน กล่าว
“นอกจากนั้น คนไทยที่เติบโตก้าวหน้าในองค์กรพีแอนด์จีในภูมิภาคยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ เรามีคนไทยประมาณ 35 คนดำรงตำแหน่งประจำสำนักงานพีแอนด์จีทั่วภูมิภาคในตำแหน่งระดับผู้จัดการทั่วไป และมี 25 คนที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบสูงระดับภูมิภาคและระดับโลก”
มร. ฟอลคอน กล่าวเสริมว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ถูกผสานเป็นหนึ่งเดียวกับกลยุทธ์และแบบแผนการเติบโตทางธุรกิจของพีแอนด์จี เพื่อเป็นหลักประกันว่าทีมงานทุกคนจะปลูกจิตสำนึกเพื่อความยั่งยืนและลงมือปฏิบัติในภารกิจประจำวันและช่วยกันสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
“พีแอนด์จีตั้งวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว จะใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งนำผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลทั้งหมด 100% ด้วย เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว พีแอนด์จีได้กำหนดแผนการจัดการอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมภายในปี 2563 ในขณะที่ผู้บริโภคยังคงได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า
เพื่อฉลองครบรอบ 25 ปีในประเทศไทย บริษัทจะดำเนินกิจกรรมหลากหลายโครงการร่วมกับพนักงานและพันธมิตรธุรกิจ ภายใต้พันธกิจระดับโลก “Live, Learn and Thrive” ของพีแอนด์จี ในโครงการรักเรียน เรียนอย่างเป็นสุข ที่พีแอนด์จีร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเด็ก ตั้งเป้าโครงการนำร่อง2 ปีแรก ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กเร่ร่อนและกลุ่มเสี่ยงกว่า 25,000 คน
ภาพประกอบ: มร. ราอูล ฟอลคอน กรรมการผู้จัดการ พีแอนด์จี (ประเทศไทย)