ไขปัญหาการลงทุนในกองทุนเปิดทองคำในไทย

พุธ ๒๘ มีนาคม ๒๐๑๒ ๑๐:๑๕

อาจารย์ประจำสถาบันสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สืบเนื่องจากการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับการวิจัยและการจัดสัมมนา “Sasin Faculty Research Forum เรื่องช่องโหว่กองทุนเปิดทองคำในไทย” ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไทยจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ผลที่ตามมาก็คืองานวิจัยดังกล่าวได้รับความสนใจทั้งจากนักลงทุน รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งได้ตื่นตัวถึงปัญหาที่กระทบต่อภาพรวมของตลาด และขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก

ทั้งนี้ หลังจากที่จัดสัมมนาไปมีผู้ที่สนใจและนักลงทุนติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทางผู้วิจัยจึงขอสรุปคำถามและตอบคำถาม เพื่อเผยแพร่ให้นักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน ดังนี้

1) ทำไมราคาปิดของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่ 18 มีนาคม 2554 และ 30 ธันวาคม 2554 ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม

ในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ราคาซื้อขายได้อยู่ในช่วง $151- $152 ตลอดทั้งวันจนถึงตลาดปิด แต่ราคาปิดกลับก้าวกระโดดไปอยู่ที่ $165.99 เมื่อตรวจสอบไปที่ตลาดทองคำโลก ก็ไม่พบว่ามีการกระโดดของราคาในลักษณะนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น และราคาชี้แนะตามมูลค่ากองทุน (indicative NAV) ณ เวลานั้นคือ $151.694 ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณมาจากราคาทองคำในตลาดโลก ราคาปิดที่ 165.99 นั้นถือว่าสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไปถึง 9.42% ส่วนในวันที่ 18 มีนาคม 2554 ก็เป็นเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน แต่ราคาปิดสูงกว่าราคาตลาดทองคำโลกไป 5.17%

ราคาปิดของทั้งสองวันนี้ไม่สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมเพราะแตกต่างจากราคาที่ซื้อขายกันในตลาดอื่นมาก และราคาดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงช่วงวินาทีก่อนตลาดปิดเท่านั้น ถ้ามีการขยายเวลาปิดตลาดออกไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาขายที่ราคาที่สูงผิดปกตินั้น และไปซื้อคืนที่ตลาดอื่นเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างไป ซึ่งจะทำให้ราคากลับมาเป็นปกติ แต่ในช่วงปิดตลาดเป็นเวลาที่สั้นมาก ทำให้นักทำกำไรเข้ามาไม่ทัน จึงทำให้ราคาปิดสูงกว่าราคาที่แท้จริงดังที่ปรากฏ

นอกจากนี้ทาง บลจ. อย่างน้อย 3 แห่ง ก็ออกจดหมายถึงลูกค้ายอมรับเหตุการณ์วันที่ 30 ธันวาคม ว่า “การปรับตัวของราคาปิดไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคาทองคำในตลาดโลก” “มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนไม่สะท้อนราคาทองคำในตลาดโลก” และ “ราคาปิดของ SPDR Gold Trust ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติในช่วงปิดตลาด” สำหรับเหตุการณ์วันที่ 18 มีนาคม มี บลจ.แห่งหนึ่งยอมรับว่า “ลูกค้าที่มีการส่งคำสั่งซื้อในวันที่ 18 มีนาคม 2554 จะได้ราคาที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นตามราคาทองคำในตลาดโลกประมาณ 5%”

2) ถ้าราคาปิดของกองทุนที่ซื้อขายในตลาด มีค่าต่างกับ NAV ของกองทุนนั้นมาก ถือว่าปกติหรือไม่

กองทุนที่ซื้อขายในตลาดมีอยู่สองประเภท คือ กองทุนเปิด Exchange-traded fund (ETF) และกองทุนปิด Closed-end fund (CEF) ในกรณีกองทุนเปิด กองทุนจะมีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุน (creation and redemption) ทำให้ราคาที่ซื้อขายในตลาดจะไม่แตกต่างจาก NAV ได้มาก เพราะถ้าราคาแตกต่างกับ NAV มากก็จะมีนักทำกำไรเข้ามาซื้อขายทำกำไรในส่วนต่าง ทำให้ราคาปรับกลับมาใกล้เคียงกับ NAV ดังนั้นถ้าราคาซื้อขายของกองทุนเปิด เช่น กองทุนทองคำสิงคโปร์ SPDR GLD 10US$ ต่างจาก NAV แค่เพียง 2% ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก

ส่วนในกรณีกองทุนปิด เช่นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนจะไม่มีกลไกในการสร้างและลดหน่วยลงทุนที่จะช่วยปรับราคาที่ซื้อขายในตลาดไม่ให้แตกต่างจาก NAV ได้มากเหมือนในกรณีของกองทุนเปิด ดังนั้นราคาของกองทุนที่ซื้อขายกันในตลาดจะแตกต่างจาก NAV ของกองทุน โดยจะขึ้นกับความต้องการซื้อและขายในตลาดขณะนั้น เช่น ถ้าราคาตลาดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างจาก NAV ถึง 20% ก็จะถือเป็นเรื่องที่ปกติ

3) การบิดเบือนราคาปิดนี้สามารถทำได้หรือไม่ และสมควรนำราคาปิดมาใช้กำหนดราคาซื้อขายหน่วยลงทุนหรือไม่

ตามหลักการถ้าตลาดมีเวลาให้ผู้ซื้อและผู้ขายเพียงพอ ราคาซื้อขายจะไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่าย เพราะถ้าราคาทองคำในตลาดหนึ่งมีราคาสูงเกินไป ก็จะมีนักทำกำไรเข้าไปขายที่ตลาดนั้นในราคาสูง และไปซื้อกลับในตลาดอื่นที่ราคาปกติเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง ราคาในตลาดนั้นก็จะกลับมาเป็นราคาปกติ และราคาของทุกตลาดก็จะกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล แต่ราคาปิดเป็นราคาที่เกิดในช่วงเวลาที่สั้นมากไม่เพียงพอที่กลไกการปรับราคาสู่สมดุลดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้ทัน การบิดเบือนราคาปิดจึงสามารถทำได้ โดยการส่งคำสั่งซื้อหรือขายช่วงสุดท้ายก่อนตลาดปิดรับคำสั่ง และถ้าสภาพคล่องขณะนั้นต่ำด้วยก็จะไม่ต้องใช้ทุนมากในการทำราคาปิด ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณกำลังถ่ายรูปเพื่อนของคุณ พอคุณนับ 1-2-3 เขาก็กระโดดขณะที่คุณกดชัตเตอร์พอดี ถ้าเอารูปนี้ไปโชว์ คนที่ดูรูปก็อาจเข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนของคุณตัวสูง ซึ่งรูปนั้นไม่ได้สะท้อนความสูงที่แท้จริงของเขา เพราะรูปนั้นเกิดจากการบิดเบือนความสูงแค่เพียงช่วงสั้นๆ เหมือนกับการทำราคาปิด แต่ถ้าคุณถ่าย 100 รูปในเวลา 10 นาที แล้วหาความสูงเฉลี่ย เพื่อนของคุณก็จะไม่สามารถบิดเบือนความสูงได้ง่ายอีกต่อไป เพราะต้องกระโดดอยู่ตลอดในช่วงเวลา 10 นาทีนั้น ซึ่งจะเหนื่อยมาก ดังนั้นราคาเฉลี่ยจะบิดเบือนได้ยากมาก

ในสหรัฐอเมริกา ถ้ามีการซื้อขายช่วงท้ายตลาดเพื่อบิดเบือนราคาปิด เพื่อผลประโยชน์ที่ผูกกับราคาปิดนั้น ก็จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และทาง U.S. Securities and Exchange Commission ก็ได้จับและปรับผู้กระทำผิดในการบิดเบือนราคาปิดไปได้หลายราย

อย่างไรก็ตาม ราคาปิดของหลักทรัพย์ทั่ว ๆไปมักจะไม่ถูกบิดเบือน เพราะไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ มาผูกกับราคาปิดนั้น จึงไม่มีใครต้องการที่จะบิดเบือนราคาปิด แต่ในกรณีราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$ นั้นได้ผูกอยู่กับผลประโยชน์มหาศาล เช่น ในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ราคาปิดของ SPDR GLD 10 US$ เป็นตัวกำหนดราคาซื้อขายของกองทุนทองคำในไทยในวันนั้นทั้งวัน ที่มีมูลค่าการซื้อสุทธิถึง 860 ล้านบาท การที่ราคาปิดนั้นสูงเกินจริงก็ทำให้ผู้ที่ขายกองทุนในไทยในวันนั้นขายได้ในราคาที่สูงเกินจริงด้วย

ตัวเลขตัวใดถ้ามีการนำไปผูกกับผลประโยชน์ ตัวเลขนั้นควรจะต้องเป็นตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่าง ๆ ราคาซื้อขายในวันสุดท้ายจะผูกกับผลประโยชน์ของผู้ที่ถือสัญญา ดังนั้นตลาดเหล่านี้จึงใช้ราคาเฉลี่ยช่วงท้ายตลาดแทนที่จะใช้ราคาปิด เพราะราคาเฉลี่ยไม่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายจึงสะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรมได้ดีกว่าราคาปิด อีกตัวอย่างหนึ่งคือในคาสิโนต่างๆ เขาจะใช้การทอยลูกเต๋าที่บิดเบือนได้ยากในการผูกกับผลประโยชน์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม แต่ถ้ามีการบิดเบือนเช่นการถ่วงลูกเต๋า ก็จะถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรมต่อลูกค้า แต่ในกรณีกองทุนทองคำ ราคาปิดของ ETF ที่สิงคโปร์เป็นราคาที่ถูกบิดเบือนได้ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น อีกทั้งได้มีการผูกกับผลประโยชน์ของนักลงทุนที่ซื้อขายกองทุนทองคำในไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบิดเบือน และเกิดช่องโหว่ให้มีการทำกำไรอย่างไร้ความเสี่ยง ดังที่อธิบายในบทวิจัย ผู้วิจัยจึงเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนยากมากำหนด NAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนแทน

โดยเฉพาะในกรณีวันที่ 30 ธันวาคมนั้น ตามหลักการแล้วการกำหนดราคา NAV ควรจะต้องสะท้อนถึงราคาตลาดและเป็นธรรม (fair market value) และผู้วิจัยเห็นว่าราคาปิดที่ใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 นั้น ไม่ได้สะท้อนถึงราคาตลาดที่เป็นธรรมตามที่อธิบายในข้อ1 ดังนั้นตามหลักการทางวิชาการผู้วิจัยเห็นว่าไม่สมควรนำราคาปิดดังกล่าวมาใช้กำหนด NAV และราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในวันนั้น

4) กองทุนอื่นที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์ มาใช้คำนวณ NAV ของกองทุน จะมีผลกระทบในลักษณะเดียวกันหรือไม่

สาเหตุที่กองทุนส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ใช้ราคาปิดของหลักทรัพย์ที่กองทุนถืออยู่แต่ละตัวมากำหนดราคา NAV ของกองทุนแล้วไม่เกิดปัญหาเหมือนในกรณีกองทุนทองคำของไทย เพราะกองทุนเหล่านั้นถือหลักทรัพย์หลายตัว ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจให้มีการทำราคา เช่นถ้ากองทุนมีหุ้น 20 ตัว ถ้าจะบิดเบือน ก็ต้องไปบิดเบือนราคาปิดของหุ้นทั้ง 20 ตัว ซึ่งก็จะไม่คุ้มเพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำราคาของหุ้นทุกตัว เมื่อไม่มีแรงจูงใจในการทำราคา ราคาปิดจึงไม่ถูกบิดเบือนและทำให้สะท้อนราคาตลาด

ในกรณีที่กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์ตัวเดียว ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบ master-feeder funds กล่าวคือ กองทุนที่เรียกว่า feeder fund จะลงทุนในกองทุนอีกกองทุนหนึ่งที่เรียกว่า master fund อย่างไรก็ดีกองทุน master fund เหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น ETF และไม่ได้ซื้อขายกันในตลาด ทำให้ไม่สามารถทำราคาปิดได้ ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น และในกรณีที่ feeder fund เป็นกองทุน ETF ปัญหาดังกล่าวก็จะไม่เกิดเช่นกันเพราะกองทุน ETF นั้นซื้อขายกันในตลาดอยู่แล้วซึ่งนักลงทุนจะทราบราคาซื้อขายที่แน่นอนในขณะซื้อขาย ดังนั้นจะมีกรณีเดียวที่ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นคือกรณีที่กองทุน feeder ไม่เป็น ETF แต่ลงทุนใน master fund ที่เป็น ETF ซึ่งจะมีเพียงส่วนน้อยของกองทุนในโลกเท่านั้นที่เป็นกรณีนี้ ตัวอย่างคือ กองทุนรวมทองคำของไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์หรือฮ่องกง กองทุนน้ำมันที่ลงทุนในกองทุนเปิด ETF ตัวเดียว และกองทุนทองคำบางตัวในอินเดีย ซึ่งกองทุนเหล่านี้มีโอกาศที่จะประสบปัญหาแบบเดียวกับกองทุนรวมทองคำของไทย และทางผู้วิจัยเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำกับกองทุนของประเทศนั้น ก็จะเข้ามาแก้ไขปิดช่องโหว่ดังกล่าวเมื่อทราบเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่กองทุนเหล่านี้บางกองทุนยังไม่ประสบปัญหาดังกล่าว อาจเป็นเพราะ 1) กองทุน ETF ที่เป็น master fund มีสภาพคล่องสูงขณะปิดทำให้การทำราคาปิดต้องใช้ทุนสูงจึงอาจไม่คุ้ม 2) มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นใน feeder fund เหมือนกองทุนทองคำอินเดีย จึงอาจทำให้ไม่คุ้มต่อการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยง 3) ประเทศนั้นมีกฏหมายรองรับที่จะเอาผิดกับผู้ที่จงใจทำราคาปิด และมีการจับและปรับเกิดขึ้นในอดีต หรือ 4) ยังไม่มีนักทำกำไรเห็นช่องโหว่ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีการเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน ETF ที่เป็น master fund มีการเก็บค่าถือครองระยะสั้นของ feeder fund และมีการบังคับใช้กฏหมาย สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดจริงๆ และถ้ากองทุนทองคำในไทยย้ายไปลงทุนใน SPDR GLD ETF ที่ฮ่องกง แต่ยังคงใช้ราคาปิดในการอ้างอิงเช่นเดิม ก็จะไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดเช่นกัน เพราะราคาปิดของ SPDR GLD ETF ที่ฮ่องกงก็อาจจะถูกบิดเบือนได้อีก การแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดคือการเปลี่ยนมาใช้ตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากในการกำหนด NAV แทนการใช้ราคาปิด

5) หลังจากพบช่องโหว่นี้ ศศินทร์ ทำอย่างไร

เมื่อทางผู้เขียนพบวิธีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงจากช่องโหว่นี้ ก็ได้ทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมโดยมีขอบเขตของงานดังต่อไปนี้ 1) เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดในปัจจุบันคือการนำราคาที่บิดเบือนได้ง่ายและไม่ได้สะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม มาใช้กำหนด NAV ของกองทุน 2) แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ที่นักลงทุนสามารถเข้ามาทำกำไรโดยไร้ความเสี่ยงได้ ซึ่งควรจะต้องรีบปิด และ 3) เสนอวิธีแก้ไขปัญหาโดยเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่บิดเบือนได้ยากมากำหนดราคา NAV แทน โดยยกตัวอย่างตัวเลขที่บิดเบือนได้ยากและสามารถสะท้อนราคาตลาดอย่างเป็นธรรม เช่น ค่าเฉลี่ย และ ค่า Indicative NAV โดยทั้งนี้ งานที่อยู่นอกเหนือจากขอบเขตของงานวิจัยดังกล่าว ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้ทำการศึกษาเพื่อพิจารณาตัดสินใจเลือกตัวเลขที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ในการคำนวน NAV ต่อไป

เมื่อได้ผลการวิจัย ในวันที่ 18 มกราคม 2555 ทางศศินทร์ก็ได้แจ้งไปยังกลต. การแจ้ง กลต.ก่อนนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการ เพราะ กลต. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของตลาดและคุ้มครองผู้ลงทุน และหลังจากนั้นก็ได้ไปนำเสนอผลงานและได้ปรึกษาร่วมกันกับทาง กลต. เพื่อหารือแนวทางแก้ไข ซึ่งทาง กลต. ก็แจ้งว่าได้มีการปรึกษากับทาง บลจ. ในเรื่องเหตุการณ์วันที่ 30 ธันวาคมนี้ก่อนแล้ว ทางศศินทร์จึงไม่ได้ไปติดต่อกับสมาคม บลจ. โดยตรงเองอีกทาง เพราะ ทาง กลต. และ สมาคม บลจ. มีการประสานงานกันอยู่

นอกจากนี้แล้ว ไม่ได้มีบุคคลหรือองค์กรใดแนะนำหรือว่าจ้างให้ผู้วิจัยทำการวิจัยดังกล่าว เพียงแต่เราในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ ที่ต้องการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เห็นว่าการใช้ราคาปิดที่ผิดปกติของกองทุนทองคำสิงคโปร์ในวันที่ 18 มีนาคม 2554 และ 30 ธันวาคม 2554 มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผ่านมานักลงทุนไทยที่ซื้อกองทุนทองคำที่อิงกับสิงคโปร์ในวันที่ 18 มีนาคม 2554 ต้องรับภาระซื้อในราคาที่แพงเกินจริงไป 5.17% และเหตุการณ์ลักษณะเดิมได้เกิดซ้ำอีกในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ที่ผู้ซื้อต้องจ่ายแพงเกินจริงถึง 9.42% และ ณ เวลานั้นไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้เป็นครั้งที่ 3 ขึ้นอีกเมื่อใด ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีกแน่ ทางศศินทร์เห็นว่านักลงทุนควรได้รับทราบถึงข้อมูลความเสี่ยงตรงนี้ เพราะการที่ทรัพย์สินหายไป 9-10% ในวันเดียวนี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยของทุกคน และตอนนั้นนักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่ยังไม่ทราบถึงความเสี่ยงตรงนี้เลย ทางศศินทร์จึงเผยแพร่ผลงานวิจัยนี้ให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกัน เพื่อช่วยแจ้งเตือนนักลงทุนนำข้อมูลนี้ไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในกองทุนทองคำต่อไป และข้อดีอีกประการของการเผยแพร่คือเมื่อทุกคนรู้ก็จะทำให้ผู้ที่แอบทำกำไรอยู่ ถ้ามีอยู่จริง ก็อาจจะไม่กล้าทำกำไรมากนัก

ในบทวิจัยทางผู้เขียนได้แนะนำให้นักลงทุนรอก่อน หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็อย่าเพิ่งลงทุนในกองทองคำที่ใช้ราคาตลาดสิงคโปร์อ้างอิง แต่ถ้านักลงทุนอยากลงทุนในทองคำในตอนนั้น ผู้เขียนแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในกองทอง ETF ทั้ง 4 กองแทน เพราะจะไม่มีความเสี่ยงของราคาที่ผิดปกติดังกล่าว นอกจากนี้แล้วยังไม่ได้แนะนำให้นักลงทุนขาย แต่ถ้ามีนักลงทุนต้องการจะขายก็แนะนำให้ทยอยขาย อย่าขายทั้งหมดในวันเดียว เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไปขายในวันที่ราคาตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

6) ผู้ลงทุนควรทำอย่างไร

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 ทาง ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้มีข้อสรุปในวิธีการคำนวณ NAV ของกองทุนรวมไทยที่ลงทุนใน Gold ETF ว่าในกรณีที่ทาง บลจ. เห็นว่าราคาปิดของ Gold ETF ผิดปกติ ทาง บลจ.จะใช้ราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเช่น Indicative NAV มาใช้ในการคำนวณ NAV ของกองทุนไทย ส่วนในกรณีที่ราคาปิดเป็นปกติ บลจ. จะใช้ราคาปิดของ Gold ETF มาคำนวณ NAV ของกองทุนไทย

จากมาตรการใหม่นี้ทำให้ผู้เขียนเห็นว่านักลงทุนของกองทุนเปิดทองคำในไทยที่ลงทุนในกองทุนทองคำสิงคโปร์น่าจะสบายใจได้แล้วว่าเหตุการณ์ราคาผิดปกติที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ทาง บลจ.จะใช้ในการพิจารณาว่าราคาปิดนั้นปกติหรือไม่ปกติ ทางผู้เขียนเห็นว่าราคาปิดที่ปกติจะไม่ควรต่างจาก Indicative NAV เกิน 1-2% เพราะถ้าเกิน 1-2% ก็จะสามารถมีการทำกำไรแบบไร้ความเสี่ยงได้อยู่ ตามที่เขียนอธิบายตัวอย่างไว้ในงานวิจัย

สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลข่าวเพิ่มเติมได้ที่

คุณศิริลักษณ์ สุจริตตานนท์ (แอน) Asst. Chief of Public Relations โทร 02-218- 3853-4

E-mail: [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO