นายสานิต โศภิตจิรพาส ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บาคาร์ดี้ ประเทศไทย จำกัดเปิดเผยว่า “ด้วยความนิยมในสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เน้นความรวดเร็วคล่องตัวและสะดวก บาคาร์ดี้ พลัส จึงเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมลงตัว แตกต่างจากเครื่องดื่มทั่วไปด้วยคุณสมบัติของส่วนผสม บาคาร์ดี้ ซูพีเรีย พรีเมี่ยม รัม ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของ โลก และสูตรค็อกเทลที่ได้รับความนิยมและยอมรับจากนักดื่มทั่วโลก โดยมี 3 สูตร ได้แก่ บาคาร์ดี้โคล่า บาคาร์ดี้เลมอนเนด และ บาคาร์ดี้จิงเจอร์แอล ซึ่งในส่วนของบาคาร์ดี้นั้น เป็นแบรนด์ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีทั่วโลกและข้อแตกต่างของบาคาร์ดี้พลัส จากเครื่องดื่ม RTD ทั่วไปในท้องตลาดก็คือ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำผลไม้หรือกลิ่นของผลไม้แต่ บาคาร์ดี้ พลัส จะใช้ส่วนผสมของบาคาร์ดี้ ซูพีเรียแท้ๆเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งกิจกรรมทางด้านการตลาดที่ทางบาคาร์ดี้จะทำต่อไป จะดูว่ารสชาติไหนที่เข้ากับความต้องการของคนไทยได้มากที่สุด และจะมีรสชาดใหม่ๆออกมาในทุกๆ 6 เดือนซึ่งเน้นกลุ่มนักดื่มคนรุ่นใหม่ที่มีช่วงอายุ 20-25 ตามที่กฏหมายกำหนด โดยเน้นกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกกันทั้งด้านโซเชียลมีเดีย ดิจิตอลมีเดีย เฟสบุ๊ค และโมบายแอพพลิเคชั่น ในขณะนี้ ตลาดเครื่องดื่ม RTD โดยรวมมีมูลอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของบาคาร์ดี้บรีเซอร์ จะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 60% ของตลาดโดยรวม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทางบาคาร์ดี้คาดหวังไว้คือขยายตลาดไปควบคู่กับส่วนแบ่งการตลาดที่เรามีอยู่จาก 60% เพิ่มขึ้นเป็น 70% หรือมากกว่านั้น เนื่องจากทางค่านิยมของผู้ดื่มที่เปลี่ยนไป มีความสะดวกสบายมากขึ้น หาซื้อง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาในการผสมเครื่องดื่ม และมีความหลากหลายของรสชาดทำให้ในทุกๆปีตลาดเครื่องดื่ม RTD ทั่วโลกจะโตขึ้น 3.3%
ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในเมืองไทยส่วนใหญ่ 80% คือวิสกี้ ในระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา อาจมองว่ามันไม่ได้เติบโตทางการตลาดเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นัก อาจอยู่ที่การแย่งส่วนแบ่งการตลาดระหว่างยี่ห้อหนึ่งกับยี่ห้อหนึ่ง แต่ในขณะที่ ไวท์สปิริท กลับเติบโตทางการตลาด 20-25% อย่างต่อเนื่อง ในช่วงปีเดียวกัน ซึ่งมูลค่าการตลาดของ ไวน์หรือวิสกี้จะอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วน ไวท์สปิริทจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท อันเนื่องมาจากกระแสค่านิยมหรือการดื่มจากต่างประเทศเข้ามาตามแฟชั่นทั้งในฝั่งยุโรปและอเมริกา หันมาลองดื่มเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ซึ่งจะเน้นตลาดร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิงและกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะสามารถกระตุ้นตลาดได้เป็นอย่างมากเพราะเป็นการเฉลิมฉลองและมีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน คาดว่าจะกระตุ้นยอดขายได้มากกว่าปกติได้ถึง 18-20% โดยในอนาคตหลังการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน จะมีต้นทุนการขนส่งที่ถูกลงอย่างมาก ทางบาคาร์ดี้เองก็มีนโยบายที่จะตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยเพื่อลดการขนส่งลงอีกด้วย เพราะในปัจจุบัน แหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียคือจีน และ อินเดีย ถ้าตลาดเป็นไปตามที่คาดไว้ในปี 2555 อัตราการเติบโตของบาคาร์ดี้โดยรวมน่าจะอยู่ที่ 20-25% ” นายสานิต กล่าวทิ้งท้าย