นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนะโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด ผู้บริหารร้านเชสเตอร์ กริลล์ [Mr.Suwat Songphatanayothin, Vice President of Chester's Food Co, the operator of Chester's Grill restaurants] เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเพิ่มเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านเชสเตอร์ กริลล์มากขึ้น โดยมีแผนจะออกเมนูใหม่ทุกไตรมาส หรือประมาณ 8 รายการตลอดทั้งปี แบ่งเป็น กลุ่มอาหารหลัก 4 เมนู และกลุ่มสแน็ค 4 เมนู รวมทั้งจะมีการเปลี่ยนรายการอาหารที่จะจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทุกเดือน ทั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มความถี่ของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าประจำ ที่เข้ามาใช้บริการที่ร้านราว 2 ครั้งต่อเดือน โดยตั้งเป้าให้ลูกค้าประจำเข้ามาใช้บริการทุกสัปดาห์ หรือ 4 ครั้งต่อเดือน
ล่าสุด เชสเตอร์ กริลล์ ได้เพิ่มเมนูเบอร์เกอร์ปลา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จากปัจจุบันที่มีเบอร์ไก่ และเบอร์เกอร์กุ้งจำหน่ายอยู่แล้ว รวมทั้งจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุด “เบอร์เด็ด” เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำตัวสินค้า ผ่านราคาจำหน่ายเริ่มต้นด้วยเบอร์เกอร์ไก่ เพียง 30 บาท เบอร์เกอร์ปลา 35 บาท และ เบอร์เกอร์กุ้ง 39 บาท และจะช่วยกระตุ้นยอดขายกลุ่มเบอร์เกอร์ภายในร้านให้มากขึ้น โดยคาดว่า ภายหลังการเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “เบอร์เด็ด” จะทำให้สัดส่วนยอดขายกลุ่มเบอร์เกอร์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 9% ของยอดขายรวม เพิ่มเป็น 15% ได้ภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่
“การที่เราเลือกทำตลาดเบอร์เกอร์ในครั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มความหลากหลายให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะเข้าไปแข่งขันกับเจ้าตลาดเบอร์เกอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะ Positioning ของร้านเชสเตอร์ กริลล์ มีความชัดเจนว่า กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะสั่งอาหารประเภทข้าว หรือไก่ย่าง ประกอบกับเมนูเบอร์เกอร์ถือว่าตอบสนองความคุ้มค่าทางด้านราคาได้เป็นอย่างดี เพราะมีรสชาติอร่อย มีประโยชน์ และราคาไม่แพง ซึ่งปัจจุบันยอดขายหลัก 30% ยังคงมาจากเมนูข้าว อาทิ ข้าวอบไก่ย่าง ข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ และข้าวไก่ย่างน้ำตก เป็นต้น อีก 20% มาจากเมนูไก่ย่าง ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มอาหารจานเดียว เช่น สปาเก็ตตี้ โกลเด้นฟิช รวมทั้งกลุ่มสแน็ค และเครื่องดื่มรวมกัน ” นายสุวัฒน์ กล่าว
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า บริษัทวางงบประมาณรวมทั้งปีไว้ 210 ล้านบาท แบ่งเป็น สำหรับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และทำกิจกรรมทางการตลาดรวม 80 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขาใหม่เพิ่มเติมในปีนี้ 22 แห่งคาดลงทุนสาขาละ 5-6 ล้านบาท หรือราว 110 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมงบสำหรับการปรับปรุงสาขาเดิมจำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของสาขาใหม่จะเป็นการลงทุนของแฟรนไชส์ 19 แห่ง และสาขาของบริษัท 3 แห่ง เพื่อให้คงสัดส่วนระหว่างร้านแฟรนไชส์ 70% และร้านของบริษัท 30% เพื่อใช้เป็นร้านต้นแบบสำหรับฝึกหัดพนักงาน หรือผู้จัดการสาขาในการเรียนรู้การปฎิบัติงาน กฏระเบียบ รวมทั้งเรื่องคุณภาพและมาตราฐานต่างๆ ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 162 แห่ง
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในสิ้นปีนี้ ตั้งเป้าเติบโต 20% หรือมียอดขายรวม 1,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มียอดขาย 1,400 ล้านบาท ซึ่งได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มในการปรับราคาสินค้า ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ โดยแนวทางการปรับราคาดังกล่าวจะเป็นแนวทางสุดท้ายที่บริษัทจะเลือกใช้