นายดำรงค์ แก้วประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด หรือ KTBGS เปิดเผยว่า บมจ.ธนาคารกรุงไทย มีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารให้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ประกอบกับในปีนี้ กรุงไทยธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มสนับสนุนธุรกิจของธนาคารกรุงไทย เปิดดำเนินการมาแล้ว 15 ปี จึงเป็นโอกาสอันดีในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ จากเดิม KGS เป็น KTBGS เพื่อสร้างและสื่อถึง KTB Strong Branding ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กรุงไทยธุรกิจบริการ ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อการดำเนินธุรกิจบริการให้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงไทยซึ่งถือว่าเป็นลูกค้าหลักและผู้ถือหุ้น และในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาที่บริษัทเริ่มขยายการให้บริการไปสู่ลูกค้าอื่นๆ นอกเหนือจากบริษัทในกลุ่ม บมจ.ธนาคารกรุงไทยอย่างมีนัยสำคัญ
“ ในปีนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงเพราะเราตั้งเป้าเติบโตถึง 20 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นรายได้ 2,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 1,669 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักๆดังนี้ คือ 1) การขยายธุรกิจให้บริการทุกประเภท โดยเฉพาะงานบริการขนส่งทรัพย์สิน (CIT) และงานพิมพ์และปิดผนึกพร้อมจัดส่ง กับกลุ่มลูกค้าสถาบันการเงินและการธนาคารต่างๆ นอกเหนือจากธนาคารกรุงไทยที่เป็นลูกค้าหลักอยู่แล้ว โดยเพิ่มอัตราส่วนจากเดิม 90 ต่อ 10 เป็น 80 ต่อ 20 2) โดยนำระบบไอทีมาใช้ในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้า และ 3)การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการคิดโครงการต่างๆ เพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านเวลาและการเงินของบริษัท ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ผลเป็นอย่างมากสามารถลดต้นทุนได้ถึง 28 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไรที่มากขึ้น และทำให้พนักงานได้มี Work-life balance ได้มากขึ้น” นายดำรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ KTBGS ให้บริการใน 5 ส่วนธุรกิจหลักๆดังนี้คือ 1. ให้บริการขนส่งเงินสด ( Cash In Transit) ทั้งการส่งเงินสด และการบริการด้าน ATM แก่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างๆ 2. งานรับส่งและบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ 3. งานบริหารอาคารทั้งประเภทอาคารสำนักงานและศูนย์ฝึกอบรมครบวงจรให้แก่ธนาคารกรุงไทย 4. งานพิมพ์เอกสารทางการเงิน และพับปิดผนึก และจัดส่งแก่สถาบันการเงินต่างๆ และ 5. งานบริการอื่นๆ เช่น รับส่งเอกสารทั่วไป รักษาความปลอดภัย บริการทำความสะอาดและงานบริการศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ ( Call Center )
ปัจจุบัน KTBGS ถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจนี้ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดที่ 31 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2553 และ 34 เปอร์เซ็นต์ ในปีที่ผ่านมา โดยหัวใจหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทคือ การนำระบบไอที มาประยุกต์ใช้อย่างเต็มรูปแบบ เริ่มจากที่พัฒนาระบบ โมบาย ดีไวซ์ แมเนจเมนต์ โซลูชั่น ( MDMs ) โดยใช้โทรศัพท์มือถือ มาใช้ในการบริหารจัดการควบคุมการเติมเงิน และการแก้ไขตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศ ทดแทนการควบคุมแบบเก่าที่ยังคงใช้เอกสารในการทำงาน ทำให้สามารถประหยัดเวลาและลดต้นทุนเป็นจำนวนมาก ส่วนในปีนี้ จะนำเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบ RFID และระบบ GPS มาใช้ในส่วนของ Logistic เพื่อใช้ติดตามรถยนต์ขนส่งทรัพย์สินทั่วประเทศ มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเงินทั้งหมดที่กำลังเดินทางไปยังตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศ ซึ่งถูกควบคุมด้วยระบบ MDMs อยู่แล้วแบบเรียลไทม์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่สามารถให้บริการกับลูกค้าได้อย่างครบวงจรในระดับนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับ กิจกรรม ซีเอสอาร์ ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลา 15 ปี โดยบริษัทเน้นกิจกรรมส่งเสริมเพื่อเยาวชนซึ่งถือเป็นเป็นพลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนในอนาคต เช่นโครงการ KTBGS ปันน้ำใจให้เด็กด้อยโอกาสและตลอดจนการ ด้วยการสนับสนุนโครงการต่างๆ เช่นการเข้าร่วมโครงการ สกูล เบิร์ด ( School BIRD ) ของมูลนิธิ มีชัย วีระไวทยะ ที่เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง และโครงการกรุงไทยสานฝันโรงเรียนดีใกล้บ้าน นอกเหนือจากนั้น บริษัทฯยังส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างจิตสำนึกให้กับบุคลากรภายในองค์กร ในการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวคล้อม เช่น กิจกรรม KTBGS อาสาปลูกปะการัง และกิจกรรมร่วมกับชุมชนรอบบริษัทรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีที่ 15 นี้ บริษัทได้จัดกิจกรรม KTBGS แรลลี่รักษ์โลกให้กับลูกค้า ในเดือนเมษายนนี้