การนำอันดับเครดิตของ SVI ออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เนื่องจากฟิทช์มองว่าความเสี่ยงจากการสูญเสียลูกค้ารายใหญ่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 ลดลง และ SVI น่าจะสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจ และฐานะการเงินของบริษัทให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ลูกค้าส่วนใหญ่ของ SVI ยังคงไว้วางใจให้บริษัทผลิตสินค้าให้และสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากชื่อเสียงและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัทกับลูกค้าที่มีมายาวนาน มีเพียงลูกค้ารายเดียวซึ่งมียอดสั่งซื้ออยู่ประมาณ 5% ของรายได้ของ SVI ได้ยกเลิกคำสั่งซื้อหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม นอกจากนี้ฟิทช์มองว่าการที่บริษัทสามารถกลับมาเริ่มการผลิตอย่างรวดเร็วหลังเหตุการณ์น้ำท่วมยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อบริษัท โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 70% ของกำลังการผลิตในช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วม ฟิทช์คาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้เท่ากับช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555
เงินชดเชยความเสียหายที่จะได้รับจากบริษัทประกัน (คาดว่าจะได้รับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2555) และการที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลในปี 2555 น่าจะช่วยลดทอนผลกระทบจากกำไรและกระแสเงินสดที่อาจลดลงในปี 2555 เนื่องจากรายได้ที่ลดลง เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่มากขึ้น ฟิทช์มองว่าเงินสดสุทธิ (เงินสดหลังหักหนี้สิน) ของบริษัทที่ 540 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 น่าจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินเพียงพอที่จะรองรับกำไรที่ลดลง ค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม และกระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ที่อาจเป็นลบในปี 2555 โดย SVI น่าจะสามารถรักษา FFO-Adjusted Net Leverage ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่าได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
SVI ยังคงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของตลาดรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนแนวโน้มที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer) จะว่าจ้างผู้รับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ผลิตแทนเพิ่มขึ้น โดย SVI เน้นการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับบนประเภท non-traditional ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีความผันผวนจากความต้องการที่ต่ำกว่า และมีอัตราส่วนกำไรจากการผลิตที่สูงกว่า ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจและผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาวะอุตสาหกรรมที่ท้าทาย
ปัจจัยเสี่ยงของ SVI ประกอบด้วยการที่บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่กระจุกตัว แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ SVI ยังเผชิญกับความผันผวนของความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้ในรูปสกุลเงินบาทลดลง อย่างไรก็ตามความเสี่ยงดังกล่าวได้ถูกลดทอนบางส่วนจากการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
อันดับเครดิตของ SVI อาจถูกพิจารณาปรับเพิ่มได้หากขนาดธุรกิจของบริษัทมีการขยายตัวโดยมีรายได้สูงกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการกระจายตัวของลูกค้าและกลุ่มลูกค้าตามภูมิภาคมากขึ้น โดยที่ยังคงรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า ต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกันอันดับเครดิตของ SVI อาจถูกพิจารณาปรับลดได้หากหนี้สินสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการจ่ายเงินปันผลที่สูง การลงทุนที่สูงกว่าที่คาดไว้ หรือการเข้าซื้อกิจการอื่นโดยใช้หนี้ที่สูง (Debt Funded Acquisition) ซึ่งส่งผลให้ FFO-Adjusted Net Leverage สูงกว่า 1.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้อันดับเครดิตอาจถูกพิจารณาปรับลดได้หาก EBITDAR Margin ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 6% อย่างต่อเนื่อง หรือบริษัทสูญเสียสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง หรือสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ