ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ “บ. บีเอสแอล ลีสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB/Stable”

ศุกร์ ๑๑ พฤษภาคม ๒๐๑๒ ๑๗:๑๐
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ ความสามารถในการคงสถานะทางการตลาดให้เป็น 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดธุรกิจลีสซิ่ง ตลอดจนการลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราการก่อหนี้เมื่อเทียบกับทุน และการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทยังมีเครือข่ายการให้บริการลูกค้าบริเวณรอบนอกกรุงเทพฯ ที่ไม่กว้างขวางพอ และการสนับสนุนทางการเงินที่จำกัดจากธนาคารกรุงเทพ ซึ่งการสนับสนุนที่จำกัดอาจกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทและเป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทั้งยังคงเพิ่มความหลากหลายของแหล่งเงินกู้ไปด้วย แนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณารวมไปถึงความคาดหมายที่คณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถคงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและรักษาผลการดำเนินงานในระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ด้วย

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่ง ก่อตั้งในปี 2528 โดยการร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 ระหว่างธนาคารกรุงเทพและบริษัทในกลุ่มกับ Sumitomo Mitsui Banking Corporation ประเทศญี่ปุ่น (เดิมชื่อ Mitsui Taiyo Kobe Bank) เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการทางการเงินสำหรับจัดซื้อเครื่องจักรและยานพาหนะในอุตสาหกรรมภายใต้สัญญาลีสซิ่งและเช่าซื้อ ต่อมาในปี 2547 บริษัทได้ขยายสู่ธุรกิจแฟคตอริ่ง การปรับโครงสร้างภายในของกลุ่มธนาคารกรุงเทพในปี 2548 มีผลทำให้ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันคือธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 10% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นในกลุ่มธนาคารกรุงเทพมีสัดส่วนลดลงเหลือ 40% อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธนาคารกรุงเทพได้ซื้อหุ้นจำนวน 10% คืนจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารกรุงเทพที่จะให้การสนับสนุนบริษัทต่อไป

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่งยังคงความเป็นผู้นำตลาดในด้านการให้บริการสินเชื่อและลีสซิ่งอุปกรณ์และเครื่องจักรโดยยังคงรักษาสถานะในลำดับที่ 4 จากจำนวนผู้ให้บริการรายใหญ่ 11 รายซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้งในปี 2553 ทั้งนี้ สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3,828 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 4,877 ล้านบาทในปี 2553 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 5,255 ล้านบาทในปี 2554 ธุรกิจของบริษัทมีการกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยผ่านการให้บริการของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว ลูกค้าของบริษัทจึงจำกัดอยู่แต่เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่ขาดความหลากหลายในเชิงพื้นที่เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินรายใหญ่อื่น ๆ

ในปี 2551 บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่งได้ปรับปรุงนโยบายด้านบัญชีในการบันทึกค่าเสื่อมราคาโดยเปลี่ยนวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคาจากการรวมผลจำนวนงวดเพื่อลดราคาตามบัญชี (Sum of the Year Digit - SYD) มาเป็นแบบเส้นตรง (Straight-line) พร้อมรวมการประเมินค่าซากในการคำนวณค่าเสื่อมราคา การเปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคาดังกล่าวทำให้ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2551-2552 โดยค่าเสื่อมราคาจากสินทรัพย์ให้เช่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รายได้สุทธิของบริษัท (ปรับจากรายได้สุทธิของธุรกิจให้เช่าดำเนินงาน) อยู่ระหว่าง 100-300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2546-2550 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 624 ล้านบาทในปี 2551 และลดลงเป็น 532 ล้านบาทในปี 2552 รายได้สุทธิปรับลดลงสู่ระดับปกติที่ 415 ล้านบาทในปี 2553 และ 412 ล้านบาทในปี 2554 แต่ยังคงเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระดับสูงถึง 48.71% ในปี 2551 และระดับ 27.82% ในปี 2552 ก่อนที่จะลดลงสู่ระดับ 16.43% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยยังคงลดลงอย่างมากในปี 2554 สู่ระดับ 5.31% และกำไรสุทธิลดลงจากระดับ 150 ล้านบาทในปี 2553 เหลือ 54 ล้านบาทในปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษที่เกิดจากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจากระดับ 30% ทำให้บริษัทต้องปรับลดสิทธิประโยชน์จากสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีลงและบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าวแล้วก็ถือว่าในปี 2554 บริษัทยังคงมีอัตราการทำกำไรในระดับปกติ

การบริหารมูลค่าคงเหลือของสินทรัพย์ให้เช่า (ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังสัญญาหมดอายุ) ที่มีประสิทธิภาพทำให้บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่งสามารถสร้างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากกำไรที่ได้จากการขายสินทรัพย์ให้เช่าดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ก่อนการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีในปี 2551 บริษัทมีรายได้ในส่วนนี้คิดเป็น 22%-23% ของรายได้สุทธิ บริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 72 ล้านบาทในปี 2549 ระดับ 73 ล้านบาทในปี 2550 และระดับ 32 ล้านบาทในปี 2551 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากมีสินทรัพย์ให้เช่าจำนวนมากที่หมดอายุสัญญาเช่าในปีเดียวกันนั้น ต่อมากำไรดังกล่าวลดลงเหลือ 23 ล้านบาทในปี 2553 และ 29 ล้านบาทในปี 2554 หลังจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณค่าเสื่อมราคา บริษัทจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าต่อรายได้รวมในสัดส่วนที่ลดลง

บริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่งมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้จะมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมักมีความอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ลูกค้าของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ก็มีจำนวนไม่มากและไม่ได้รับผลกระทบมากนักและยังคงจ่ายชำระหนี้เป็นปกติ บริษัทมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อเงินให้สินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยในระดับ 1.76% ในปี 2554 ซึ่งนับว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2551 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหลายฉบับ โดยหนึ่งในระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จำกัดการให้สินเชื่อแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องได้แก่บริษัทที่ธนาคารพาณิชย์ที่ถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งสินเชื่อที่จะให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ หรือไม่เกิน 25% ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทที่เป็นลูกหนี้ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ผลจากประกาศดังกล่าวทำให้ความยืดหยุ่นในการหาแหล่งเงินทุนของบริษัทบีเอสแอล ลีสซิ่งมีข้อจำกัดมากขึ้นเนื่องจากในขณะนั้นบริษัทพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารกรุงเทพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้กระจายแหล่งกู้ยืมไปยังสถาบันการเงินอื่นมากขึ้น และเริ่มมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินในปี 2553 และออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาทในปี 2554 ทำให้ ณ เดือนธันวาคม 2554 บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้เพียง 4% จากจำนวนหนี้สินรวม 5,056 ล้านบาทที่กู้จากธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ทริสเรทติ้งกล่าว

บริษัท บีเอสแอล ลีสซิ่ง จำกัด (BSL)

อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

BSL136A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่ BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ