นายอำพลกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของทั้ง 2 กองทุน ยังคงสามารถให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ประมาณ 6% - 10 % ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนระยะยาวจากทางเลือกอื่นๆ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล หรือผลตอบแทนจากหุ้นปันผลในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.15% และ 3.65% ตามลำดับ ทั้งนี้ กองทุน MJLF ซึ่งมีการลงทุนในโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธินและซูซกิ อเวนิว รัชโยธิน ยังคงมีอัตราการเช่าเต็มทั้งโครงการ ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะที่กองทุน CTARAF ซึ่งลงทุนในโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย จ.สุราษฎร์ธานี นั้น ยังคงต้องจับตาบรรยากาศการท่องเที่ยวในเกาะสมุยซึ่งมีนักท่องเที่ยวยุโรปเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายน ซึ่งการประกันรายได้จากค่าเช่าของกองทุนดังกล่าวจะหมดลง ทำให้รายได้ของกองทุนต้องพึ่งพาอัตราการเข้าพักเป็นหลัก ซึ่งหากปัจจัยสำคัญอย่างวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปคลายความตึงเครียดลงและบรรยากาศการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นไปด้วยดี ก็ย่อมส่งผลดีต่ออัตราการเข้าพักของโรงแรมต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 1 และไตรมาส 3 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของเกาะสมุย อย่างไรก็ตาม บลจ. กสิกรไทย มองว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว และเป็นโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยทรงตัวและตลาดหุ้นผันผวนเช่นปัจจุบัน โดย ผู้ลงทุนควรพิจารณาระยะเวลาในการลงทุน อัตราผลตอบแทน และความสามารถในการสร้างรายได้ของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนเลือกลงทุนเป็นสำคัญ
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน MJLF และกองทุน CTARAF สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือติดตามรายละเอียดได้ทาง www.kasikornasset.com