ในงานเสวนาเรื่อง “หยุดไข้หวัด ภูมิแพ้ ตัวถ่วงความเจริญ” ซึ่งจัดโดยความร่วมมือระหว่าง บริษัทดีคอลเจน จำกัด และ โรงพยาบาลพญาไท 2 นายแพทย์อธิก แสงอาสภวิริยะ อายุรแพทย์โรคภูมิแพ้ของ โรงพยาบาลฯ และนักแสดงสาวมากความสามารถ “นัท มีเรีย” ร่วมกันให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า ทุกวันนี้ไข้หวัดและภาวะโรคภูมิแพ้ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ที่มีผลในวงกว้าง ทำให้เกิดการสูญเสียมาก บางครั้งต้องปิดโรงเรียน ผู้ป่วยบางรายอาจถึงกับเสียชีวิต หรืออย่างน้อยก็ต้องหยุดงาน เสียโอกาส เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมากมาย
การที่โรคเหล่านี้รุนแรงขึ้น มีหลายสาเหตุ ทั้งจากการที่มีเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคอย่างเร็วและกว้างขวางขึ้น ตลอดจนการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุลของคนสมัยใหม่ เช่น พักผ่อนน้อย ไม่ออกกำลังกาย เครียด สูบบุหรี่จัด รับประทานอาหารไม่ถูกสุขอนามัยและหลักโภชนาการ ทำให้เป็นโรคอ้วน ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และทำให้ป่วยบ่อยมากขึ้น
“เมื่อร่างกายอ่อนแอลง ทำให้ติดไข้หวัดหรือเกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย ส่งผลต่อการงานอย่างมาก เช่น ถ้าวันนั้นจะต้องไปสัมภาษณ์งาน ประกวดร้องเพลง หรือต้องพรีเซนต์งานใหญ่กับลูกค้า แต่เกิดเป็นโรคหวัด ไอจาม หรือเกิดภาวะภูมิแพ้ น้ำมูกไหล หน้าตาบวม ผลก็คือเสียสมาธิ เสียบุคลิก เสียความมั่นใจ แถมเป็นที่รังเกียจ ท้ายที่สุดคืออาจการพลาดโอกาสทองของงานนั้นไปอย่างน่าเสียดาย” นพ.อธิกกล่าว
“จากประสบการณ์ของตัวผมเองในการดูแลรักษาคนไข้ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน พบว่ามีผู้ป่วยถึงร้อยละ 20 ที่ปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดและภูมิแพ้อย่างเรื้อรัง จนลามไปเป็นโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ที่หนักยิ่งขึ้น เช่น ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม โรคหืด โรคริดสีดวงจมูก ซึ่งโรคเหล่านี้สร้างความเสียหายได้มากขึ้น เพราะบางรายถึงกับต้องขาดงานบ่อยๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการพิจารณาเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง” นพ. อธิกกล่าวต่อ
“นอกจากนี้ ในระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมา ตัวหมอเองพบว่า 30% ของผู้ป่วยวัยทำงานอายุ 35-50 ปีที่เข้ามารักษาโรคหวัดหรือภูมิแพ้นั้น จะมีโรคประจำตัวติดตัวมาด้วยไม่โรคใดก็โรคหนึ่งทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าวัยชรา เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต โรคถุงลมโป่งพองจากการสูบบุหรี่จัด ฯลฯ ทั้งนี้เป็นเพราะการใช้ชีวิตที่สมบุกสมบัน ขาดสมดุลทำให้เป็นโรคประจำตัวกันเร็วขึ้น เมื่อใดที่เกิดเป็นไข้หวัดหรือภูมิแพ้ก็จะมีผลให้โรคประจำตัวเหล่านั้นทรุดลง โดย 1 ใน 4 ของผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ถึงกับต้องหยุดงานในช่วงนั้นอย่างน้อยหนึ่งวัน และในจำนวนนั้นมีประมาณ 5-10% ที่ต้องถึงกับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งคืน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่เสียงานเสียการเท่านั้น ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวอีกมากด้วย แต่สำหรับในผู้สูงอายุ เคยเจอว่าอาการทรุดหนักจนเสียชีวิตก็มี” นพ. อธิกกล่าวเสริม
นัท มีเรีย นักร้องสาวที่มีผลงานทั้งเพลงและละครเพลงมากมาย เล่าให้ฟังว่า “แต่ก่อนก็คิดว่า โรคหวัดนี่เรื่องเล็ก เดี๋ยวก็หาย แต่เมื่อปีที่แล้วตอนเตรียมงานละครเวทีทวิภพ เดอะมิวสิคัล เกิดเป็นหวัด เริ่มจากตัวร้อน มีไข้ แต่กำลังซ้อมหนักก็เลยพักผ่อนไม่พอ อาการก็มากขึ้น เจ็บคอมาก เสียงก็หาย จนต้องไปหาหมอ พบว่าเป็นทอนซิลอักเสบ จนหมอต้องจับนอนโรงพยาบาล ให้ยาฆ่าเชื้อเต็มที่ และให้นอนพักเต็มที่ ต้องหยุดซ้อมไปหลายวัน ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเกิดเป็นตอนที่ละครกำลังแสดงจริงๆ แล้วเราไปแสดงไม่ได้นี่จะเป็นอย่างไร นักแสดงอื่นๆ คนดูอีกเป็นร้อยๆ เป็นพันคนรอเราอยู่ คงแย่เลย”
“ตอนนี้นัทก็พยายามดูแลสุขภาพ ออกกำลังและพักผ่อนให้พอ รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ พยายามไม่ให้เป็นไข้หวัดจะดีที่สุดค่ะ” นัทกล่าว
นพ. อธิก กล่าวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพว่า “คนส่วนใหญ่คุ้นกับบัญญัติ 10 ประการที่จะทำให้สุขภาพอนามัยดี แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ใส่ใจ อีกส่วนหนึ่งที่พยายามจะทำแต่ก็ทำไม่ถูกต้อง ซึ่งหมอขอให้ความรู้เพิ่มเติม เช่น ที่บอกว่าควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงนั้น หมายถึงการนอนยาวรวดเดียวเลย ไม่ใช่มาแบ่งงีบนอนเป็นพักๆ ระหว่างวันอย่างที่นักบริหารชอบทำกัน แบบนั้นไม่ได้ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออย่างเต็มที่ หรือการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ มีนักโภชนาการระดับแถวหน้าหลายคนแนะนำว่าช่วงอากาศเปลี่ยนควรจะเสริมด้วยการบริโภคอาหารที่มีธาตุร้อน เช่นขิง ข่า ตะไคร้ เพราะจะเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย นอกจากนี้ควรเคร่งครัดเรื่องดูแลบ้านช่อง ห้องทำงาน และรถให้สะอาดเสมอ ไม่ใช่เฉพาะผ้าปูเตียงกับปลอกหมอนนะครับ ผ้าม่านและพรมนี่ก็สำคัญซึ่งคนมักจะมองข้ามไป ถ้าทำได้อย่างน้อยสัก 4-5 ข้อก็จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
ในเรื่องของการใช้ยาบรรเทาโรคหวัดและภูมิแพ้ นพ อธิกอธิบายว่า “การใช้ยาแก้หวัดและภูมิแพ้ต้องใช้ให้ถูกต้อง และเลือกให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของแต่ละคน ยาแก้หวัดและภูมิแพ้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือยาที่มีตัวยาคลอเฟนิรามีน ผสมกับเฟนิลเอฟริน โดยคลอเฟนิรามีนช่วยลดการคัดจมูก ส่วนเฟนิลเอฟรินช่วยลดการคั่งในโพรงจมูก ทำให้จมูกโล่ง ยาประเภทนี้ทำให้ผู้ป่วยง่วง ซึ่งการได้นอนหลับก็คือการได้พักผ่อน ร่างกายได้ฟื้นฟูสภาพตัวเองให้กลับมาแข็งแรง สดชื่นขึ้น
“ยาอีกกลุ่มหนึ่งคือ ยาที่ไม่มีส่วนผสมของคลอเฟนิรามีน ยากลุ่มนี้จะไม่ทำให้ง่วง เหมาะสำหรับคนที่ทำงานหน้าเครื่องจักร หรือคนที่ขับยานพาหนะ ซึ่งถ้าคุณกำลังจะต้องไปประชุมงานสำคัญ ลาหยุดนอนพักไม่ได้ ยากลุ่มนี้ก็จะเหมาะกว่า ดังนั้นก่อนจะซื้อยาควรปรึกษาเภสัชกร หรือคุยกับคุณหมอให้ชัดเจน จะได้เข้าใจถึงคุณสมบัติของยาและเลือกใช้ได้เหมาะสมและปลอดภัย”
“อย่าลืมนะครับว่า Health is more important than wealth. สุขภาพสำคัญกว่าความมั่งคั่ง งานจะไม่รุ่งหากคุณยังปล่อยให้ไข้หวัดหวัดและภูมิแพ้มาเป็นตัวถ่วงความก้าวกน้า เริ่มปรับตัวเสียใหม่วันนี้ ยังไม่สายครับ” นพ. อธิกกล่าวสรุป
(จากซ้าย) คุณเจริญ วงศ์อริยะกวี ผู้ำอำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ดีคอลเจน จำกัด นพ. อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพญาไท 2 คุณนัท มีเรีย มร.เร็ท เฮเมเดส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ดีคอลเจน จำกัด นพ. อธิก แสงอาสภวิริยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ คุณภูษิต จิระวานิตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธการตลาด บริษัท ดีคอลเจน จำกัด