สรุปบทวิเคราะห์ของ เลแมน บราเดอร์ส “รายงานภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ประจำสัปดาห์”

อังคาร ๐๘ กุมภาพันธ์ ๒๐๐๕ ๑๔:๓๘
กรุงเทพฯ--8 ก.พ.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
เลแมน บราเดอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนระดับโลกเผยว่า ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เป็นผลดีแล้ว เอเชียก็มีการสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ส่งผลในเชิงบวกเท่าที่ควรเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนซึ่งคาดว่าจะอยู่ในสภาวะที่เปราะบางที่สุด ดังจะเห็นได้จากการดีดตัวพุ่งสูงขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการไหลเข้ามาของเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศหรือที่เรียกว่าเงินร้อน
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงขึ้น แต่ประโยชน์ที่ได้รับลดลงในปี 2547 เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้น 532,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยญี่ปุ่นมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาเพียง 154,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้กระทรวงการคลังยุติการเข้าแทรกแซงเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศแม้ว่าธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ในเอเชียจะยังคงดำเนินการแทรกแซงต่อไป ส่วนจีนมีปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น 207,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2547 โดยเพิ่มขึ้น 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐเฉพาะในไตรมาส 4 ของปี 2547 สำหรับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศอื่นๆ ในเอเชียเพิ่มขึ้น 155,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการเติบโตที่สูงกว่าจีนหรือญี่ปุ่น
การสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศในภูมิภาคเอเชียเป็นผลจากการที่เอเชียมีดุลการชำระเงินเกินดุล อีกทั้งผู้กำหนดนโยบายของประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่ยินยอมให้มีการลอยตัวค่าเงินในสกุลของตนอย่างเสรี ซึ่งแม้ว่าทุกประเทศในเอเชียจะมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลแต่การไหลเข้ามาของเงินร้อนยังคงเป็น แรงขับเคลื่อนสำคัญในการทำให้ดุลการชำระเงินเกินดุลเพิ่มขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้ ดังเช่น เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐของจีนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ประกอบด้วยดุลการค้าเกินดุลมูลค่า 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐและการไหลเข้ามาของเงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวน 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเงินส่วนที่เหลืออีก 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นเงินร้อนจากต่างประเทศ การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินเรนเมนบิเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐที่มีมูลค่าอ่อนตัวลง และกำไรจากการลงทุนในธุรกิจเดิม ดังนั้น หากจีนมีเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 เลแมน บราเดอร์ส คาดว่า เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ในปี 2547 เป็น ผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับการทำกำไรจากการลงทุนในธุรกิจเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า จีนมีการไหลเข้าของเงินร้อนคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547
การสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจะทำให้ประเทศต่างๆ สามารถลดความเสี่ยงจากวิกฤติของค่าเงิน ทั้งยังช่วยเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือให้กับประเทศของตนและลดต้นทุนในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ในช่วงที่ผ่านมาผู้กำหนดนโยบายของประเทศต่างๆ ในเอเชียมุ่งมั่นในการสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศภายหลังวิกฤติทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้เงินทุนสำรองที่สะสมตลอดมานั้นเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้เงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของค่าจีดีพี ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ดีขึ้นและทำให้มีการไหลกลับเข้ามาของเงินทุนจากต่างประเทศอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การสำรองเงินตราต่างประเทศอย่างต่อเนื่องก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจะทำให้ประโยชน์ที่จะได้รับจากการสำรองเงินตราต่างประเทศลดลง ซึ่งเลแมน บราเดอร์ส ได้ประเมินความเสี่ยงที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพิ่มมากขึ้น
ประการแรก การแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่ควบคุมได้ทำให้เงินสกุลต่างๆ ในเอเชียมีค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาตั้งแต่ปี 2541 และด้วยระบบเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่มีการเติบโตในระดับที่โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทำให้เกิดแรงกดดันและต่อต้านมากขึ้น
ประการที่สอง เพื่อป้องกันมิให้การซื้อเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศส่งผลต่อการเพิ่มสภาพคล่องภายในประเทศ ธนาคารกลางในหลายประเทศของเอเชียพยายามสร้างความสมดุลโดยการลดปริมาณสินทรัพย์ภายในประเทศสุทธิ ด้วยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลที่ธนาคารกลางแต่ละแห่งถือครองไว้ หรือออกตั๋วเงินคลังของธนาคารกลาง แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ วิธีเหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งการแทรกแซงเงินตราต่างประเทศได้อย่างครอบคลุม ประเทศจีนเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน โดยในปี 2546 ธนาคารกลางของจีนไม่ได้ดำเนินการควบคุมปริมาณเงินตราต่างประเทศสุทธิที่เพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับปริมาณเงินตราภายในประเทศสุทธิที่ลดลง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะยังอยู่ในภาวะตื่นตกใจกับการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส ซึ่งส่งผลให้จีนมีฐานเงินเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 ของจีดีพี ส่งผลให้จีนมีปริมาณเงินและปริมาณสินเชื่อเพิ่มมากเกินไป ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจของจีนมีความร้อนแรงเกินความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของจีนดูเหมือนจะดำเนินมาตรการยับยั้งการแทรกแซงอย่างรอบคอบมากขึ้นในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2547 แต่ภารกิจดังกล่าวดูจะเป็นความท้าทายที่ยากยิ่งในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณารายงานงบดุลของธนาคารกลางจีนซึ่งมีข้อมูลล่าสุดจนถึงเดือนตุลาคม 2547 และคาดว่า จีนมีการเพิ่มขึ้นของเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายน — ธันวาคม 2547 ทำให้เลแมน บราเดอร์ส ประมาณการว่า ธนาคารกลางของจีนมีเงินตราต่างประเทศสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ของจีดีพีในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และเพื่อป้องกันมิให้เงินตรา ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวไหลเข้าสู่ฐานเงินของจีน มาตรการยับยั้งการแทรกแซงเงินตราต่างประเทศในระดับกว้างจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า จีนได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้ว โดยธนาคารกลางของจีนได้ออกตั๋วเงินคลังรุ่นใหม่ที่มีมูลค่าสูงถึง 61,000 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์
ประการที่สาม แม้ว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในเอเชียจะสามารถยับยั้งการแทรกแซงเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้สำเร็จ แต่การดำเนินการดังกล่าวมีต้นทุนและความเสี่ยงสูง โดยธนาคารกลางในเอเชียอาจต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อจูงใจนักลงทุนภายในประเทศให้ลงทุนในพันธบัตรของธนาคารกลาง อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินในการใช้มาตรการยับยั้งการแทรกแซงสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งยังทำให้มีการไหลเข้าของเงินทุนต่อไป ซึ่งไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด
ประการที่สี่ ยิ่งการสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทำให้มีการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเข้มงวดมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤติมากขึ้นเท่านั้น โดยนักเก็งกำไรรู้สึกว่า การซื้อเงินในสกุลเงินของประเทศนั้นๆ เป็นการค้าเงินตราแบบทางเดียว (one-way trade) (ซึ่งการไหลเข้าของเงินร้อนที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าสภาวการณ์ดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นในจีน) หรือไม่เป็นการส่งเสริมให้บริษัทต่างๆดำเนินการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ความเสี่ยงประเภทสุดท้ายคือความเสี่ยงในการประสบภาวะขาดทุนจากเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชีย โดยหากปริมาณเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเอเชียยังคงเพิ่มสูงขึ้นในระดับอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะมีมูลค่าสูงถึง 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปลายปี 2548 และเพิ่มเป็น 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปลายปี 2549 ในกรณีที่เงินในสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ หรือในกรณีที่หุ้นกู้ของสหรัฐอเมริกามีการขายออกไปมาก ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของธนาคารกลางในเอเชียจะลดมูลค่าลงเมื่อคำนวณตามมูลค่าของสกุลเงินในประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลต้องนำเงินคงคลังออกมาให้ธนาคารกลางนำไปใช้แก้ไขปัญหาภาวะขาดทุนจากเงินตราต่างประเทศ หรือการแก้ไขอีกวิธีหนึ่งก็คือ ธนาคารกลางอาจพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยมูลค่าเงินที่สูญไป ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้น โอกาสที่ธนาคารกลางจะเผชิญความเสี่ยงจึงมีความสำคัญอย่างมาก และเมื่อพิจารณาจากการถือครองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในช่วงปลายปี 2547 ทำให้เลแมน บราเดอร์ส คาดการณ์ว่า การที่เงินสกุลต่างๆ ในเอเชียแข็งค่าขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐจะส่งผลให้เกิดภาวะขาดทุนแบบแอบแฝงของค่าเงินคิดเป็นร้อยละ 7.4 ของจีดีพีสำหรับสกุลเงินสิงคโปร์ ร้อยละ 5.3 สำหรับสกุลเงินไต้หวัน ร้อยละ 2.6 สำหรับสกุลเงินจีน และร้อยละ 1.9 สำหรับสกุลเงินเกาหลี
บทสรุป : เลแมน บราเดอร์ส คาดการณ์ว่า ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) จะได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อย หากยังคงมีการสะสมเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งยังอาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเกิดอันตรายจากการสูญเสียการควบคุมทางการเงิน ดังนั้น วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด คือ การปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามสภาวะตลาดที่เป็นจริง--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version