นายสุรเชษฐ์ ศรีวัฒนกุลวงศ์ ผู้จัดการกองทุน มีความเห็นว่าการปรับตัวลดลงของหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดี โดยปัจจุบันหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับราคาต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ (Forward PE Ratio) ที่ประมาณ 12 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ขณะที่มีอัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) และอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (EPS growth) ที่ค่อนข้างสูงกว่าด้วย ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสปรับฐานระยะสั้นต่อได้อีกเล็กน้อยในระยะ 1 — 2 สัปดาห์ข้างหน้าจากความกังวลต่อการเลือกตั้งในกรีซซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย.นี้ ในขณะที่นักลงทุนเองก็ยังคงรอดูความชัดเจนของการออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในวันที่ 20 มิ.ย. และการประชุมกลุ่มประเทศยุโรปซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ด้วย ทำให้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้น่าจะเห็นภาพของแนวโน้มตลาดได้ชัดเจนมากขึ้น และน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าลงทุนในหุ้น
นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนของไทยในระดับสองหลักในปีนี้และปีหน้า คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังคงน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆของนักลงทุนต่างชาติในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะหลังจากความกังวลในปัญหาหนี้ยุโรปเริ่มลดลง และอุปทานเงินในระบบที่เพิ่มขึ้นจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอนาคต