“ผมคิดว่าโครงการโอลิมปิกวิชาการช่วยให้นักเรียนไทยสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการที่ประเทศไทยได้เหรียญรางวัลจำนวนมากจะทำให้วิทยาศาสตร์ในประเทศดีขึ้น กระบวนการในการคัดเลือกต่างหากที่เป็นตัวจุดประกายให้นักเรียนมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเข้าโครงการ”
นายณัฐนันท์ ตันติวัสดาการ (แนท) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เจ้าของเหรียญทอง อันดับ 2 และรางวัลคะแนนภาควิเคราะห์ข้อมูลสูงสุดจากการแข่งขันดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่ต่างประเทศ เล่าว่า ภูมิใจที่จะได้มีโอกาสไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ จะทำให้ดีที่สุดในการแข่งขัน เพื่อตนเอง ครอบครัว โรงเรียนและประเทศชาติ
นายพุฒิพงศ์ วรศรัณย์ (ตัง) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งนอกจากจะเรียนดีแล้วยังได้รางวัลนักเรียนดีเด่นด้านการบำเพ็ญประโยชน์ต่อโรงเรียนด้วย ก่อนไปแข่งขันได้ฝึกทำโจทย์และเรียนกับอาจารย์ในค่ายโอลิมปิก ฯ ได้ฝึกทำการทดลองที่เคยใช้ในการแข่งขันเมื่อครั้งที่ผ่าน ๆ มา บริหารความเครียดโดยเล่นกีฬาปิงปองและเล่นดนตรี คือ เปียโน
“ผมชอบเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ เพราะเป็นวิชาที่เรียบง่ายและสวยงาม ใช้ความเข้าใจมาก ไม่ได้เน้นที่ท่องจำ อยู่ที่โรงเรียนจะคอยสอนเพื่อน และนัดรุ่นน้องมาสอนเป็นประจำ เพราะที่ผ่านมารุ่นพี่ก็ติวให้เรา จึงคิดว่ารุ่นน้องก็คงต้องการเราเหมือนที่เราต้องการรุ่นพี่มาสอน อนาคตจะรับทุนโอลิมปิกวิชาการไปศึกษาต่อต่างประเทศ อยากกลับมาเป็นอาจารย์และนักวิจัย จะมาสอน ถ่ายทอดความรู้ให้เยาวชนรุ่นใหม่ และอยากทำวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลกว่านี้”
นายพงศภัค สวัสดิรักษ์ (แอมป์) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เจ้าของเหรียญทองจากแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 13 ปี พ.ศ.2555 ณ ประเทศอินเดีย และเหรียญเงิน ฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2554 แข่งขัน ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ กล่าวว่า ก่อนไปแข่งขันได้ได้ทบทวนความรู้ ผ่อนคลายความเครียด “ไม่ว่าอย่างไรผมจะทำให้ดีที่สุด”
นายศุภณัฐ ธนศิลป์ (ไปป์) วัย 18 ปี ชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ กล่าวว่า เมื่อได้ทราบว่า เป็นผู้แทนประเทศไทยแล้วรู้สึกดีใจ แต่ในทางกลับกันก็เครียดและกดดันด้วย เพราะถือว่าเราทำในฐานะหน้าตาของประเทศ แต่ก็รู้สึกกดดันน้อยลง เพราะมีเพื่อนๆ และครอบครัวคอยให้กำลังใจ ซึ่งความรู้สึกที่มีมากที่สุด คือ ขอบคุณครอบครัวและเพื่อนๆ ที่คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ เพราะที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะตัวมคนเดียว แต่เพราะผมมีบุคคลที่กล่าวถึงอยู่ข้างๆ เสมอมา การเตรียมตัวคือ อ่านหนังสือ และฝึกทำโจทย์เยอะ ๆ พยายามทบทวนว่ามีเรื่องอะไรที่ยังไม่เข้าใจก็เสริมตรงจุดนั้น พยายามให้ถึงที่สุดเท่าที่เราในตอนนี้จะทำได้
สำหรับน้องไปป์แล้ว นอกจากจะชอบเรียนฟิสิกส์ การเรียนศิลปะที่ตนเองชอบยังทำให้มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่หลากหลายขึ้น อีกทั้งยังช่วยคลายเครียด “อนาคตอยากพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น”