นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยร่วมกับบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการระดมทุนสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยกลุ่มบริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเอสพีซีจี ได้แต่งตั้งธนาคารกสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มูลค่ากองทุนรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนในโครงการโซล่าฟาร์ม เชิงพาณิชย์ของ เอสพีซีจี จำนวนไม่เกิน 7 โครงการ
โครงการโซล่าฟาร์มของเอสพีซีจี ทั้ง 7 แห่ง เป็นโครงการที่มีศักยภาพทางธุรกิจเนื่องจากตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณแสงแดดที่ดี เหมาะแก่การก่อสร้างโครงการโซล่าฟาร์ม และไม่ได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 โดยโครงการโซล่าฟาร์มทั้ง 7 แห่ง แต่ละแห่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 7.46 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตติดตั้งรวมอยู่ที่ประมาณ 52.22 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ได้รวม 41 เมกกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจะจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 5 ปี และจะมีการต่ออายุสัญญาโดยอัตโนมัติทุก ๆ 5 ปี
การระดมทุนผ่านการเสนอขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของโซล่า เพาเวอร์ครั้งนี้ น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นโครงการที่มีศักยภาพที่มั่นใจได้ ทั้งด้านที่ตั้งแหล่งผลิตไฟฟ้า รายได้ของธุรกิจที่มีความมั่นคง เนื่องจากเป็นโครงการที่มีสัญญาการซื้อ-ขายไฟฟ้ากับกฟภ.ในระยะยาว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ที่ต่ำ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนให้เอกชนลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กองทุนรวมนี้จะมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทุน และมีการจ่ายปันผลซึ่งผู้ลงทุนรายย่อยจะได้รับการยกเว้นภาษีจากเงินปันผล
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานนำร่องด้วยโครงการโซล่าฟาร์มครั้งนี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำของธนาคารฯ ในตลาดพลังงานทดแทนของธนาคารฯ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาบุคคลากรให้สามารถปรับตัวและริเริ่มเครื่องเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อส่งมอบบริการด้านการเงินอย่างครบวงจร ขณะเดียวกัน ธนาคาร ฯ เชื่อว่าการออกกองทุนรวมจะเป็นแนวทางการระดมทุนที่มีแนวโน้มจะขยายตัวไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ได้อีกในอนาคต เมื่อภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในสัดส่วนที่สูงขึ้น ซึ่งธนาคารกสิกรไทยมีความเชี่ยวชาญและความพร้อมที่จะเข้าไปสนับสนุนอย่างเต็มที่
นางสาววันดี กุญชรยาคง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โดยภาพรวม กลุ่มบริษัท โซล่า เพาเวอร์ มีแผนการพัฒนาโครงการโซล่าฟาร์มจำนวน 34 โครงการ ให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2556 มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 24,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 240 เมกะวัตต์ ซึ่งในปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการแล้วเสร็จจำนวน 9 โครงการ ส่วนโครงการที่ 10-16 จะเป็น 7 โครงการที่จะพิจารณาในเบื้องต้นนำเสนอขายเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยการเสนอขายกองทุนจะเกิดขึ้นหลังการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ ประมาณการณ์ผลการดำเนินงานของโครงการทั้ง 7 แห่ง ที่จะเข้ากองทุน บริษัทฯ เชื่อว่าจะมีแนวโน้มรายได้ที่มั่นคง สอดคล้องกับโครงการอื่น ๆ ของบริษัทในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งมีผลการดำเนินงานในเชิงพาณิชย์แล้วภายใต้สัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทุกโครงการ สำหรับการระดมทุนผ่านกองทุนรวมดังกล่าวจะช่วยให้โครงการมีเงินลงทุนที่ช่วยสนุบสนุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ดำเนินไปอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท โซล่า เพาเวอร์ มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการพัฒนาโครงการโซล่าฟาร์มทั้ง 34 โครงการ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2556 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ และสามารถครองความเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยและอาเซียนได้ต่อไป