บทความ "หลังจบวิกฤติถึงเวลาเช็คบิลธนาคาร" โดย GT Research

อังคาร ๑๔ สิงหาคม ๒๐๑๒ ๑๗:๒๐
สวัสดีครับเมื่อวันจันทร์มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจจึงขอหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันในวันนี้เป็นเรื่องการกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯทำแผนในการฟื้นฟูรวมถึงแผนการปิดกิจการ ซึ่งถือเป็นการวางกรอบในอนาคตกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้นในภาคธนาคาร ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่าวิกฤติ Subprime ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเสียเงินภาษีไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะพยุงไม่ให้ธนาคารขนาดใหญ่ล้มระเนระนาด จากนั้นเกิดคำถามมากมายว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ที่ธนาคารประกอบกิจการโดยมีความเสี่ยงในการลงทุนสินทรัพย์ ปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพเพื่อหวังผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ สุดท้ายพอขาดทุนก็ให้ประชาชนผู้เสียภาษีรับภาระ แต่ช่วงที่ธนาคารทำกำไรมหาศาลจากธุรกรรมที่มีความเสี่ยงผลประโยชน์กลับตกอยู่ในมือคนไม่กี่กลุ่ม การออกกฎระเบียบในการควบคุมธนาคารนี้ถือเป็นการป้องกันเงินภาษีของประชาชนอเมริกันในอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้ธนาคารจำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในมุมมองของผมก็ถือว่าเหมาะสมเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกในอนาคต

เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ในช่วง Great Depression ในช่วงปี 1930 ระบบธนาคารก็สร้างปัญหาไม่น้อยจากการนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น หลังจากวิกฤติได้มีการออกกฎในการควบคุมธนาคาร (The Glass Steagall Act) โดยให้แยกธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (Commercial banking) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) กฎดังกล่าวทำให้ธุรกิจที่เป็นลักษณะ Shadow banking เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางทางการเงินด้านการลงทุนตัวอย่างเช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยง (hedge fund) ซึ่งธุรกิจนี้สามารถนำเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความซับซ้อนซึ่งเงินนั้นได้มาจากการก่อหนี้ ผลทางอ้อมคือทำให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่างมากมาย การเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ธนาคารที่รับฝากเงินเกิดความเสียเปรียบและเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ในเวลาต่อมา ท้ายที่สุดธนาคารต่าง ๆ ก็ต่างเดินเข้าสู่วังวนแห่งผลประโยชน์และสร้างความเสี่ยงมากมายในการประกอบธุรกิจ ในยามที่เศรษฐกิจดีธนาคารเหล่านี้สามารถสร้างรายได้จำนวนมากและทำให้ยิ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเศรษฐกิจประสบปัญหาก็ทำให้ธนาคารเหล่านี้แทบเอาตัวไม่รอดจากธุรกรรมที่ทำเอาไว้ นี่คล้ายกับหนังเรื่องเก่าที่เอามาเล่าใหม่ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่วิกฤติครั้งนี้จบลงแล้วกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายให้กับภาคธนาคารจะต้องมีการสังคายนากันครั้งใหญ่ แม้จะมีแรงเสียดทานบ้างจากบรรดานายธนาคารที่ยังคงต้องการรักษารายได้ที่สวยหรูในอนาคต ที่ผ่านมา FED และรัฐบาลสหรัฐฯ เองได้แย้มออกมาหลายครั้ง ประกอบกับแรงกดดันจากประชาชนผู้เสียภาษีที่เรียกร้องให้บรรดาบริษัทรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบจะทำให้เงินจำนวนมากที่ใช้ในการเก็งกำไรในตลาดลดลงหรือถูกควบคุม ขณะที่การทำธุรกรรมที่สร้างผลตอบแทนสูง ๆ ที่เคยจูงใจนักเก็งกำไรก็จะลดลงตามความเข้มงวดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องกระทบต่อราคาสินทรัพย์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แนวทางนี้ถือว่าจะสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินไปได้อีกพักใหญ่ทีเดียว วันนี้ลากันไปก่อนครับ

กมลธัญ พรไพศาลวิจิต

ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์

บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด

GT Wealth Management

www.gtwm.co.th

TEL : 02-673-9911

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ