นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาโครงการ “ชวนชื่น” และ “สิรีนเฮ้าส์” เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2555 ว่า บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ประจำไตรมาส 2/2555 จำนวน 497.48 ล้านบาท ลดลง 22.20% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้ 639.45 ล้านบาท แต่เพิ่มสูงขึ้น 33.11% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 373.74 ล้านบาท สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังปัญหาอุทกภัยปลายปี 2554 โดยโครงการหลักที่สร้างรายได้ในไตรมาสนี้ ได้แก่ โครงการชวนชื่นเพชรเกษม, ไพรเวทพาร์ค และเบลล์พาร์ค ชวนชื่นซิตี้ ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2555 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายและบริการ จำนวน 871.22 ล้านบาท ซึ่งลดลง 16.64% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้ 1,045.13 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2555 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) เท่ากับ 1,430 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 42% และคอนโดมิเนียม 58%
ในไตรมาสที่ 2/2555 บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 199.38 ล้านบาท ลดลง 23.02% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 258.99 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 33.87% จากไตรมาสที่ผ่านมา ที่มีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 148.93 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังรักษาความสามารถในการบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้เท่ากับ 40.08% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 39.85% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาสนี้ เท่ากับ 86.59 ล้านบาท ลดลง 12.06% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 98.47 ล้านบาท และ ลดลง 7.75% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 93.87 ล้านบาท แม้ว่า ไตรมาสนี้จะจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้นตามรายได้ที่สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากในไตรมาสนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 85.62 ล้านบาท คิดเป็น 0.10 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 87.77% จากไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งมีมีกำไรสุทธิ 45.60 ล้านบาท แต่ลดลง 25.28% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 114.59 ล้านบาท โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ประจำไตรมาส 2/2555 เท่ากับ 17.03% ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 17.80% และสูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 11.99%
สำหรับงวด 6 เดือน บริษัทฯ มี กำไรเบื้องต้น 348.31 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น 39.97% ใกล้เคียงกับปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 40.23% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 9.24% จาก 198.83 ล้านบาทเป็น 180.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือนเท่ากับ 131.22 ล้านบาท คิดเป็น 0.15 บาทต่อหุ้น ลดลง 18.80% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 161.59 ล้านบาท สำหรับอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 14.86% ลดลงเล็กน้อยจากอัตรา 15.31% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ในส่วนของสินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 337.18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากมูลค่างานพัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้นและบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ ในขณะที่หนี้สินปรับตัวเพิ่มขึ้น 274.74 ล้านบาท จากการกู้เพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ และเพื่อรองรับการขยายตัวในปีหน้า ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 68.82 ล้านบาทในไตรมาสนี้ จึงทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูงขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาจาก 0.38 เท่าเป็น 0.43 เท่า ผลจากการลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มยังทำให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ (159.08) ล้านบาท ส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนเป็นบวกอยู่ที่ 14.03 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นบวก 167.61 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ (72.94) ล้านบาท ในปี 2554 เนื่องจากการกู้ยืมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2555 สำหรับผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 - 30 มิ.ย. 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 12 ก.ย. 2555 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 28 ส.ค. 2555 และปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 29 ส.ค. 2555 อนึ่ง การจ่ายเงินปันผลประจำปี 2554 ที่ผ่านมา อยู่ที่อัตราหุ้นละ 0.18 บาท โดยเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท