อบต.เขาเจ็ดลูก มีมติเห็นชอบ 23/1 ให้บริษัทอัครา ไมนิ่ง ใช้ทางสาธารณประโยชน์ที่ปิดตายมากว่า 8 ปีแล้ว สำหรับโครงการขยายบ่อเก็บกากแร่แห่งใหม่ หลังประชาคมแล้วชาวบ้านเห็นชอบท่วมท้น ผู้ว่าฯพิจิตร ชี้ ผลดีจากการที่อัคราฯเข้ามาลงทุนทำเหมืองทอง ก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ช่วยเศรษฐกิจพิจิตรดีขึ้น
นายกฤษณะ ก้อนแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก จังหวัดพิจิตร เปิดเผยว่า ตามที่องค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก และอำเภอทับคล้อ ได้จัดทำประชาคมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่หมู่ 3 และหมู่ 8 ตำบลเขาเจ็ดลูก เรื่องที่บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด ขออนุญาตใช้ทางสาธารณประโยชน์เพื่อประกอบการทิ้งมูลดินทรายและเก็บขังน้ำขุ่น บริเวณพื้นที่บ้านหนองระมาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 แล้วนั้น (15 สิงหาคม) สภาอบต.เขาเจ็ดลูก ได้ประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว และที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบกับผลประชาคมดังกล่าวทั้งหมด 23 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง ซึ่งหลังจากการประชุมแล้ว จะต้องให้สมาชิกสภาอบต.เขาเจ็ดลูก ลงนามก่อนจึงจะทำรายงานเสนอทางอำเภอทับคล้อต่อไป
ทั้งนี้ ผลจากการจัดทำประชามติออกเสียง โดยมีผู้ใช้สิทธิออกเสียงของหมู่ 3 บ้านเขาดิน และหมู่ 8 บ้านนิคม จำนวน 840 คนนั้น มีผู้ใช้สิทธิออกเสียง เห็นชอบ จำนวนทั้งสิ้น 560 คน ผู้ใช้สิทธิออกเสียง ไม่เห็นชอบ จำนวนทั้งสิ้น 269 คน และจำนวนบัตรเสีย จำนวนทั้งสิ้น 11 คน
ด้านนายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ได้รับทราบรายงานในเบื้องต้นเกี่ยวกับการดำเนินการประชาคมการใช้ทางสาธารณะสำหรับโครงการขยายการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการทำบ่อเก็บกากแร่แห่งใหม่เนื้อที่เกือบ 1,000 ไร่ของบริษัทอัคราฯ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทอัคราฯสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีก 10 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรายงานผลการประชุมของอบต.เขาเจ็ดลูกมายังจังหวัดรับทราบอย่างเป็นทางการ
“ การลงทุนทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัครา ไมนิ่งนั้น ส่งผลดีต่อจังหวัดพิจิตร เพราะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในชุมชน เป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนเศรษฐกิจของจังหวัดพิจิตรให้ดีขึ้น” ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าว
ที่ผ่านมา ศาลปกครองได้มีคำพิพากษา ยกคำร้องของกลุ่มผู้คัดค้านที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า บริษัท อัครา ไมนิ่ง จำกัด ได้ทำเหมืองแร่ทองคำสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจนได้รับความเดือดร้อน หลังจากได้ไต่สวนและลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่า การดำเนินการของบริษัทอัคราฯไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์อย่างรุนแรงจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่ฟ้องขอให้สั่งระงับการที่บริษัท อัคราฯ จะมีการสร้างบ่อเก็บกากแร่แห่งที่ 2 เพื่อรองรับการขยายโรงงาน โดยอ้างว่าจะไปก่อสร้างทับทางสาธารณะประโยชน์สายนาตาหวาย-อ่างหิน ที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมาจึงเป็นเหตุให้เดือดร้อน จึงขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองและขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งปิดเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราฯนั้น ศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งยกคำร้องอีกเช่นกันและให้ถือคดีเป็นที่สุด เพราะ บริษัทอัคราฯดำเนินการถูกต้องทุกประการ และทางสาธารณะดังกล่าวอยู่ในที่ดินของบริษัทอัคราฯซึ่งมีโฉนดถูกต้อง ถูกปิดตายมา 8 ปี ไม่มีผู้ใช้เส้นทางที่เดิมเป็นทางเกวียนที่เจ้าของที่ดินสร้างขึ้นและใช้ประโยชน์เอง และเป็นทางตันที่ไม่ได้ไปเชื่อมต่อกับทางหลวงสาย 1301 แต่อย่างใด
ทั้งนี้ การที่กลุ่มผู้คัดค้านพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ภาครัฐสั่งปิดเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัครา ไมนิ่ง หรือทำให้การทำงานเกิดปัญหาอุปสรรค เป็นเพราะมีผู้คัดค้านบางคนร่วมมือกับนายทุนที่ต้องการขายที่ดิน หวังบีบให้บริษัทอัคราฯยอมซื้อที่ดินในราคาแพงเกินจริง โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้รับจากการสร้างงานกว่า 1,000 คน และภาครัฐที่ได้รับเงินภาษีและค่าภาคหลวงแต่ละปีนับร้อยล้านบาท
ติดต่อ:
Visage Company
42/2 Soi Intamara 1
Suthisan Rd.
Phyathai
Bangkok 10400
Tel: 0-2616-6749-50
Fax: 0-2615-4941