นายชวลิต หวังธำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) หรือ PHOL ผู้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมครบวงจร รายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางการขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า จะให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยและกลุ่มบำบัดน้ำ โดยผ่านโชว์รูมและสาขาของบริษัทฯ เพิ่มเติมจากช่องทางอื่นๆ ที่มีอยู่ หลังจากพบว่าปัจจุบันทั้งภาคอุตสาหกรรม และประชาชนคำนึงถึงสุขภาพอนามัย ความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ช่องทางค้าปลีกจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าด้วยตัวเองมากขึ้น
“เราปูทางเพื่อสร้างช่องทางจำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกมาตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมา หลังจากพบว่าเราแข็งแกร่งและครองความเป็นผู้นำมายาวนานในช่องทางค้าส่ง ประกอบกับผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัย ความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่ออาชีวอนามัยและความปลอดภัยผู้บริโภคเริ่มหันมาเลือกซื้อสินค้าเพื่อใช้เอง จากเดิมที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมและใช้เพื่อความปลอดภัยในการทำงานเท่านั้น เช่นเดียวกับในธุรกิจบำบัดน้ำความใส่ใจในสุขภาพทำให้เครื่องกรองน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ภาคครัวเรือนหันมาให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น เราจึงเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยการเปิดสาขาขึ้นในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นโชว์รูมให้ลูกค้าสามารถสัมผัสสินค้าได้อย่างใกล้ชิดและครบวงจร ถือเป็นมิติใหม่ของสินค้าประเภทนี้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี”
นายชวลิต กล่าวต่อว่าปัจจุบันบริษัทฯ ได้จัดตั้งสาขาแล้ว2สาขา โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจัดตั้งสาขาที่จังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นอีก 1 สาขา เพื่อเป็นโชว์รูมทดสอบตลาดค้าปลีกว่าจะสร้างยอดขายได้ดีเพียงใดซึ่งอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาในภาคอีสานเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนสาขาละประมาณ 2 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งธุรกิจค้าปลีกจะเริ่มให้บริการได้ภายในไตรมาส 3 นี้ และคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้ดีกว่าในครึ่งปีแรก นอกเหนือจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2555 (เมษายน-มิถุนายน 2555)บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 9.13 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.98 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการงวด 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 21.99 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.65 ล้านบาท ถึงแม้ว่า กำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หลังจากที่โรงงานอุตสาหกรรมบางส่วนยังไม่สามารถเดินสายการผลิตได้เต็มกำลังทำให้รายได้เติบโตราว 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2555ไว้ที่ 20 % และมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ดี จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.11 บาท/หุ้น จากผลประกอบการงวด 6 เดือนที่มีกำไร สุทธิ 0.16 บาท/หุ้น จึงคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลกว่า 67.51% ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดวันจ่ายปันผลระหว่างกาลในวันที่ 7 กันยายน 2555