นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ (MILL) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 160.71 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากกว่าปี 2554 ทั้งปี ที่มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 111.53 ล้านบาท ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่า ในปีนี้ MILL จะมีกำไรสุทธิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา หลังจาก Green Mill Project ซึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว และผลิตได้ดีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการขายเหล็กทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 8,930 ล้านบาท
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 7.4% เนื่องจากการผลิตที่ต่อเนื่อง ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนต่อขนาดได้มากขึ้น รวมทั้งการควบคุมกระบวนการผลิตที่เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิต จากการวางแผนการออกแบบก่อสร้างโรงงานผลิต Billet และโรงงานเหล็กเส้นที่ระยองให้เชื่อมต่อกัน ทำให้สามารถผลิต Billet ต่อเนื่องไปผลิตเหล็กเส้นได้ทันที ส่งผลให้ต้นทุนการใช้พลังงานลดลง และผลักดันความสามารถการทำกำไรของบริษัทให้เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือการเปลี่ยนแปลงการใช้ระบบโปรแกรมซอฟท์แวร์บัญชีใหม่ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้สามารถรองรับการขยายงานในอนาคต รวมทั้งเป็นการเพิ่มความรวดเร็วและโปร่งใสในการจัดทำงบการเงินอีกด้วย
“ภาวะตลาดเหล็กในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ความต้องการเหล็ก (Demand) ในประเทศอยู่ที่ 7.9 ล้านตันเติบโตขึ้น 7% ซึ่งถือว่าภาวะอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศขณะนี้มีการตื่นตัว แตกต่างจากภาพของอุตสาหกรรมเหล็กโลก โดยเฉพาะในภาคก่อสร้างที่ได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง เป็นต้น พร้อมกับความต้องการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นด้วย และจากการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับการปรับระบบซอฟแวร์ใหม่ ทำให้มั่นใจว่า การทำกำไรของ MILL ในปีนี้จะสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา” นายสิทธิชัยกล่าว
เขากล่าวถึงแนวโน้มของตลาดเหล็กในช่วงครึ่งปีหลัง ประเมินว่าการบริโภคเหล็กในประเทศยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นแต่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องและปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อุตสาหกรรมก่อสร้างยานยนต์และเครื่องจักรกลซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ที่มีการใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบในการผลิต ส่วนแนวโน้มราคาเหล็กในปีนี้อาจจะมีความผันผวนบางเล็กน้อย โดยในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. 2555 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม MILL มีนโยบายบริหารความเสี่ยงด้วยนโยบายการบริหารสินค้าคงเหลือด้วยความระมัดระวังและไม่เก็งกำไรจากความผันผวนของราคา ทั้งนี้คาดว่าการบริโภคเหล็กในปี 2555 นี้จะอยู่ที่ 16.5 ล้านเมตริกตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีปริมาณการบริโภค 14.7 ล้านเมตริกตัน