เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว เกียรตินาคิน-ภัทรจะประสานประโยชน์และใช้ความรู้ความชำนาญในการดำเนินธุรกิจซึ่งเป็นจุดแข็งของทั้งสองกิจการเพื่อเพิ่มศักยภาพของกลุ่มธุรกิจฯ พัฒนาประสิทธิภาพทั้งในด้านกระบวนการทำงาน การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดกระบวนการคิดที่เป็นระบบและการทำงานเป็นทีม ให้ความสำคัญกับการระดมสมองจากกลุ่มบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อประโยชน์สูงสุดทั้งต่อลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้นของธนาคารรวมถึงส่งเสริมการพัฒนาตลาดการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ
นายสุพล วัธนเวคิน ประธานกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภายหลังการร่วมกิจการเกียรตินาคิน-ภัทร จะดำเนินธุรกิจหลักสองด้าน ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุน ทั้งนี้ จากเดิมที่ธนาคารทำธุรกิจลูกค้าบุคคลเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจของภัทรจะเน้นที่ธุรกิจสถาบัน ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ วานิชธนกิจ และการลงทุน ภายหลังการร่วมกิจการ กลุ่มธุรกิจฯ จะมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ภายใต้การนำของนายบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการธนาคารให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะอยู่ภายใต้การดำเนินการของนายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล (ประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และกรรมการผู้จัดการใหญ่) ในขณะที่ธุรกิจตลาดทุนจะอยู่ภายใต้การดำเนินการของนายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ (ประธานธุรกิจตลาดทุนและกรรมการผู้จัดการใหญ่) โดยทั้งนายธวัชไชยและนายอภินันท์จะรายงานตรงต่อนายบรรยงและร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิด”
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในเรื่องการบริหารวัฒนธรรมองค์กร เป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสององค์กรถึงแม้จะประกอบธุรกิจในตลาดการเงินเช่นเดียวกัน แต่ย่อมมีความแตกต่างทั้งด้านหลักการดำเนินธุรกิจ (Business Principles) รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Model) วิธีการดำเนินธุรกิจ (Business Practices) รวมถึงวัฒนธรรมองค์กร (Organization Culture) ซึ่งแต่ละองค์กรต่างก็สร้างสรรค์สะสมมาตลอดระยะเวลาการประกอบธุรกิจที่ผ่านมาหลายสิบปี ซึ่งทั้งประธานกรรมการ คณะกรรมการ ผม และผู้บริหารของ “กลุ่มธุรกิจฯ” ตระหนักดีว่าภารกิจสำคัญเริ่มแรกคือการประสาน หล่อหลอมและปรับตัวเข้าหากัน ในทุกด้านเพื่อกำหนด “หลักการ-รูปแบบ-วิธีการ-วัฒนธรรม” ร่วมกันของ ”เกียรตินาคิน-ภัทร” ให้เป็นหลักเริ่มต้นของการพัฒนาองค์กรสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จะต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้ดี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมและการแข่งขันในอนาคต”
“ภายหลังการร่วมกิจการ กลุ่มธุรกิจฯ จะมีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อการกระจายรายได้ที่ดี เพิ่มความมีเสถียรภาพของผลประกอบการ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจฯ โดยในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ภายใต้การดูแลของนายธวัชไชย จะมีการปรับปรุงจุดยืนและทิศทางการดำเนินธุรกิจ มีการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มสายธุรกิจใหม่ที่เห็นว่ามีโอกาสทางธุรกิจที่ดี เพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ด้านกลยุทธ์การพัฒนาเครือข่ายและการระดมเงินฝากของธนาคารก็จะต้องสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของธุรกิจและกลยุทธ์ขององค์กรในภาพรวม อีกทั้งจะบริหารจัดการต้นทุนการปฏิบัติงานและต้นทุนทางการเงินขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างสมดุล สำหรับด้านธุรกิจตลาดทุน ภายใต้ความรับผิดชอบของนายอภินันท์ จะครอบคลุมทั้งส่วนที่เป็นลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคล โดยมุ่งเน้นที่จะขยายขอบเขตและขนาดการดำเนินธุรกิจ โดยใช้ทรัพยากรของกลุ่มธุรกิจฯ ที่เกิดจากการร่วมกิจการ อันได้แก่ จำนวนลูกค้าร่วม เงินกองทุน องค์ความรู้และฐานข้อมูล ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ เครือข่ายสาขา ซึ่งจะส่งผลให้มีการเพิ่มขอบเขตการประกอบธุรกิจตามใบอนุญาตที่มีอยู่ให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการให้บริการ”