ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ TISCO Wealth มองว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้น เพราะยังคงมีสัญญาณที่เป็นบวก จึงถือเป็นช่วงจังหวะการกลับเข้ามาสะสมหุ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต้องเน้นการ selective มากขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาการไหลเข้า-ออกของเงินทุนในตลาดหุ้นต่างๆ พบว่า เงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นทุกตลาด แต่จะแยกได้ชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเงินทุนไหลออกจากตลาดที่พัฒนาแล้ว และกลับไหลเข้าในประเทศกำลังพัฒนา เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดย TISCO Wealth คาดว่าแนวโน้มการไหลของเงินทุนจะเป็นแบบนี้ต่อไประยะหนึ่ง ดังนั้น แนะนำให้เน้นลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Market) คือ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ที่ยังมี Upside ที่น่าสนใจในการลงทุน
โดยจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้ คาดเติบโตที่ประมาณ 3% เทียบกับการเติบโตในเอเชียที่ 6-7% และละตินอเมริกาที่ 5% ตามลำดับ รวมทั้งราคาหุ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น เอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังถูกกว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว และราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต โดยเมื่อเทียบสัดส่วนราคาต่อมูลค่าบัญชี (P/BV) ณ ระดับปัจจุบัน P/BV ของภูมิภาคนี้อยู่ที่เฉลี่ย 1.6 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าในอดีต และต่ำกว่าค่าปกติที่ P/BV ของตลาดนี้อยู่ที่ 2.7 เท่า แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังคงมี Upside สูง โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าการลงทุน 100% จะมีจำนวนถึง 63% ที่ราคาหุ้นจะปรับสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน และมีเพียง 35% ที่ราคาหุ้นต่ำกว่าระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนสูงทั้งระยะเวลาการลงทุน 1 ปี และ 3 ปี โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าการลงทุนใน 1 ปี และ 3 ปี ได้รับผลตอบแทนสูงเฉลี่ยถึง 31.7% และ 89.5% ตามลำดับ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด TISCO Wealth มองว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามของรัฐบาลจีนที่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 7.5% เช่น การออก Stimulus Project จำนวน 8 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา รวมเป็น 1.50% ซึ่งเป็นการเสริมสภาพคล่องในระบบได้ถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านหยวน ธนาคารกลางจีนยังยืดหยุ่นให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จนเหลือ 6% (จาก 9% กว่า) และคาดว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก 1% ในเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางยังได้อัดฉีดเงินทุนเข้าธนาคารพาณิชย์โดยผ่านการซื้อพันธบัตร โดยมีสัญญาขายคืน 278,000 ล้านหยวน เข้าสู่ตลาด Inter Bank เพื่อใช้เป็นมาตรการทดแทนการลดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์
จากความพยายามที่มีอย่างต่อเนื่องดังกล่าว จึงคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่เกิด Hard Landing และสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ TISCO Wealth ยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน อีกทั้งตลาดหุ้นจีนยังคงมีปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุน คือ ราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคถึง 30% โดยปัจจุบันค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ประมาณ 8.7 เท่า เมื่อเทียบกับภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 11.2 เท่า ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนกลับเข้าไปซื้อขายในระดับเดียวกับภูมิภาคคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะมี Upside จากระดับปัจจุบันเกือบ 30%
นอกจากนี้ TISCO Wealth ยังคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะได้รับแรงหนุนจากเรื่องการเมืองในช่วงการเปลี่ยนผู้นำจีน โดยการเปลี่ยนผู้นำจีนในช่วงเดือน ต.ค. 2012 - มี.ค. 2013 คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมา ในช่วงถ่ายโอนอำนาจและมีผู้นำใหม่เข้ามา มักจะเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของจีน จะส่งผลบวกโดยตรงกับภาพตลาดหุ้นจีน จากการพิจารณาการเปลี่ยนผู้นำจีน 4 ครั้งล่าสุด พบว่า ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำจีน ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นหลายๆ ประเทศในโลก
“จากมุมมองที่กล่าวมา TISCO Wealth มองว่าตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจ เพราะภูมิภาคเอเชียเป็นเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก โดยเฉพาะจีนที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนออกมาต่อเนื่อง ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน และปัจจุบันราคาหุ้นจีนนับว่าถูกและ Downside Risk ต่ำ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำในเดือนนี้ คือ ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นจีน หรือ H-Shares” นางสาววรสินี กล่าว
นางสาววรสินี กล่าวว่า นอกจากนี้ ล่าสุดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการออกมาตรการ QE3 ยังคาดว่าจะส่งผลให้เกิดสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยผลักดันทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ Laggard อย่างภูมิภาคเอเชียและจีน ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าผลตอบแทนในช่วงของการเกิด QE1 ตลาดหุ้นจีนและภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น มีการปรับตัวขึ้นแรงถึงเกือบ 100% และ มากกว่า 60% ใน 1 ปี