ทิสโก้เวลธ์มองเศรษฐกิจเอเชียแข็งแกร่ง แนะเพิ่มสัดส่วนลงทุนหุ้นจีน

จันทร์ ๑๗ กันยายน ๒๐๑๒ ๐๙:๐๐
ทิสโก้ เวลธ์ แนะลงทุนหุ้นเอเชียเพิ่ม หลังเศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในโลก ชูตลาดหุ้นจีนน่าลงทุนที่สุด เนื่องจากราคาหุ้นถูก และ Downside Risk ต่ำ ด้านรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง และการเลือกตั้งผู้นำจีนในปลายปี ส่งผลบวกต่อตลาด

ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ TISCO Wealth มองว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้น เพราะยังคงมีสัญญาณที่เป็นบวก จึงถือเป็นช่วงจังหวะการกลับเข้ามาสะสมหุ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต้องเน้นการ selective มากขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อพิจารณาการไหลเข้า-ออกของเงินทุนในตลาดหุ้นต่างๆ พบว่า เงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นทุกตลาด แต่จะแยกได้ชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเงินทุนไหลออกจากตลาดที่พัฒนาแล้ว และกลับไหลเข้าในประเทศกำลังพัฒนา เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเติบโตสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดย TISCO Wealth คาดว่าแนวโน้มการไหลของเงินทุนจะเป็นแบบนี้ต่อไประยะหนึ่ง ดังนั้น แนะนำให้เน้นลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Market) คือ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ที่ยังมี Upside ที่น่าสนใจในการลงทุน

โดยจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้ คาดเติบโตที่ประมาณ 3% เทียบกับการเติบโตในเอเชียที่ 6-7% และละตินอเมริกาที่ 5% ตามลำดับ รวมทั้งราคาหุ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น เอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังถูกกว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว และราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต โดยเมื่อเทียบสัดส่วนราคาต่อมูลค่าบัญชี (P/BV) ณ ระดับปัจจุบัน P/BV ของภูมิภาคนี้อยู่ที่เฉลี่ย 1.6 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าในอดีต และต่ำกว่าค่าปกติที่ P/BV ของตลาดนี้อยู่ที่ 2.7 เท่า แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังคงมี Upside สูง โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าการลงทุน 100% จะมีจำนวนถึง 63% ที่ราคาหุ้นจะปรับสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน และมีเพียง 35% ที่ราคาหุ้นต่ำกว่าระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น ยังเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนสูงทั้งระยะเวลาการลงทุน 1 ปี และ 3 ปี โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าการลงทุนใน 1 ปี และ 3 ปี ได้รับผลตอบแทนสูงเฉลี่ยถึง 31.7% และ 89.5% ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด TISCO Wealth มองว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความพยายามของรัฐบาลจีนที่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย 7.5% เช่น การออก Stimulus Project จำนวน 8 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือน พ.ย. ที่ผ่านมา รวมเป็น 1.50% ซึ่งเป็นการเสริมสภาพคล่องในระบบได้ถึงประมาณ 1.2 ล้านล้านหยวน ธนาคารกลางจีนยังยืดหยุ่นให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จนเหลือ 6% (จาก 9% กว่า) และคาดว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก 1% ในเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางยังได้อัดฉีดเงินทุนเข้าธนาคารพาณิชย์โดยผ่านการซื้อพันธบัตร โดยมีสัญญาขายคืน 278,000 ล้านหยวน เข้าสู่ตลาด Inter Bank เพื่อใช้เป็นมาตรการทดแทนการลดการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์

จากความพยายามที่มีอย่างต่อเนื่องดังกล่าว จึงคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่เกิด Hard Landing และสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ TISCO Wealth ยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน อีกทั้งตลาดหุ้นจีนยังคงมีปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุน คือ ราคาหุ้นถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาคถึง 30% โดยปัจจุบันค่า P/E ของตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ประมาณ 8.7 เท่า เมื่อเทียบกับภูมิภาคซึ่งอยู่ที่ประมาณ 11.2 เท่า ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนกลับเข้าไปซื้อขายในระดับเดียวกับภูมิภาคคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะมี Upside จากระดับปัจจุบันเกือบ 30%

นอกจากนี้ TISCO Wealth ยังคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะได้รับแรงหนุนจากเรื่องการเมืองในช่วงการเปลี่ยนผู้นำจีน โดยการเปลี่ยนผู้นำจีนในช่วงเดือน ต.ค. 2012 - มี.ค. 2013 คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมา ในช่วงถ่ายโอนอำนาจและมีผู้นำใหม่เข้ามา มักจะเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของจีน จะส่งผลบวกโดยตรงกับภาพตลาดหุ้นจีน จากการพิจารณาการเปลี่ยนผู้นำจีน 4 ครั้งล่าสุด พบว่า ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำจีน ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับตลาดหุ้นหลายๆ ประเทศในโลก

“จากมุมมองที่กล่าวมา TISCO Wealth มองว่าตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจ เพราะภูมิภาคเอเชียเป็นเศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุดในโลก โดยเฉพาะจีนที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนออกมาต่อเนื่อง ตลอดจนมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน และปัจจุบันราคาหุ้นจีนนับว่าถูกและ Downside Risk ต่ำ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำในเดือนนี้ คือ ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นจีน หรือ H-Shares” นางสาววรสินี กล่าว

นางสาววรสินี กล่าวว่า นอกจากนี้ ล่าสุดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้มีการออกมาตรการ QE3 ยังคาดว่าจะส่งผลให้เกิดสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยผลักดันทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ Laggard อย่างภูมิภาคเอเชียและจีน ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าผลตอบแทนในช่วงของการเกิด QE1 ตลาดหุ้นจีนและภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น มีการปรับตัวขึ้นแรงถึงเกือบ 100% และ มากกว่า 60% ใน 1 ปี

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ