การวิจัยในประเทศไทยได้เก็บข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2551 จากนักศึกษาวิชาเอกคณิตศาสตร์ของหลักสูตร 5 ปี และหลักสูตร ป.บัณฑิต จำนวน 1,312 คน ในมหาวิทยาลัย 45 แห่งที่ผลิตครูคณิตศาสตร์
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า หลักสูตรผลิตครูคณิตศาสตร์ของประเทศที่เข้าร่วมวิจัย แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ 1) หลักสูตรผลิตครูเพื่อสอนคณิตศาสตร์ได้ทุกชั้น เช่น หลักสูตรผลิตครูของประเทศไทย และ 2) หลักสูตรผลิตครูเพื่อสอนคณิตศาสตร์เฉพาะระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา เช่น หลักสูตรผลิตครูของจีน-ไทเป ซึ่งนักศึกษาของ จีน-ไทเป มีคะแนนเฉลี่ยทั้งสองด้านสูงเป็นอันดับหนึ่งทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ผลการประเมินของประเทศไทยพบว่า 1) ในระดับประถมศึกษา นักศึกษาของหลักสูตรผลิตครูมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในเนื้อหาคณิตศาสตร์และความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์สูงกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ 2) ในระดับมัธยมศึกษา นักศึกษาของหลักสูตรผลิตครูมีคะแนนเฉลี่ยทั้งสองด้านต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ 3) นักศึกษาหลักสูตร ป.บัณฑิต มีคะแนนเฉลี่ยทั้งสองด้านสูงกว่านักศึกษาหลักสูตร 5 ปี ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 4) ผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษาของนักศึกษามีผลโดยตรงต่อคะแนนเฉลี่ยทั้งสองด้าน
จากผลการประเมินชี้ให้เห็นว่า ควรใช้หลักสูตรป.บัณฑิตในการผลิตครูคณิตศาสตร์โดยให้นักศึกษาเรียนหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (คณิตศาสตร์) 4 ปีและเรียนวิชาการสอนคณิตศาสตร์อีก 1 ปี นอกจากนี้ควรใช้หลักสูตรผลิตครูเพื่อสอนคณิตศาสตร์ที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจนระหว่างระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา เพื่อเตรียมครูให้เชี่ยวชาญทั้งด้านเนื้อหาและการจัดการเรียนการสอนของแต่ละระดับ และควรใช้ผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกนักเรียนที่เรียนดีเข้าเรียนในหลักสูตรผลิตครู
ผลการประเมิน TEDS-M สูงสุดสามอันดับแรก และของประเทศไทย (เทียบกับค่าเฉลี่ยนานาชาติที่ 500 คะแนน)
ระดับ คะแนนเฉลี่ยความรู้ในเนื้อหาคณิตศาสตร์ คะแนนเฉลี่ยความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
ประถมศึกษา จีน-ไทเป 623 สิงคโปร์ 604
โปแลนด์ 614 จีน-ไทเป 592
สิงคโปร์ 600 โปแลนด์ 575
ไทย 528 ไทย 506
มัธยมศึกษา จีน-ไทเป 667 จีน-ไทเป 649
รัสเซีย 594 เยอรมนี 586
สิงคโปร์ 587 รัสเซีย 566
ไทย 478 ไทย 476