“มันเริ่มมาจากตัวคาแร็คเตอร์ของการ์ตูนแต่ละตัวถูกกำหนดถูกดีไซน์ไว้ก่อนแล้วตามท้องเรื่อง แล้วเราต้องหาเนื้อเสียงให้ตรงกับคาแร็คเตอร์ แล้วผมต้องการนักแสดงที่เก่งที่มีบุคลิกโดดเด่นแล้วคล้ายตัวละครที่ออกแบบมาแล้ว หลายตัวละครเราก็เลยปรับเอาเอกลักษณ์ของคนพากย์มาใส่ลงไปในตัวการ์ตูนด้วย เช่นเสนาหอยก็จะมีผมที่เป็นเร้กเก้ เราก็เอามาดัดเป็นเสาอากาศที่ประหลาดกว่าตัวอื่น ตัวอื่นมีเขาอันเดียวแต่อันนี้มีถึงสามอัน ปากหนาตาโปนก็จะมีความเป็นหอยอยู่ ตัวหอยฉลาดคล่องแคล่วพูดเก่งติดตลก ตรงนี้เป็นบุคลิกเดียวกันกับเผือกหอยเป็นหนุมานจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าตอนเขาเด็กๆ ไปสมัครโขนครูบาอาจารย์ก็คงคัดหอยให้อยู่ในกลุ่มลิง หอยเป็นคนหัวไวความคิดซนมีลูกตอดต่อเนื่องตลอดเวลา คือเป็นหนุมานในโทนคอมมิดี้ ตัวลิงเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แม้แต่ทางกรมศิลป์คนที่เคยเล่นเป็นบทหนุมานทุกคนซนหมดครูมืด (ประสาท ทองอร่าม) ยังเคยเล่นหนุมานเลย ที่สำคัญที่สุดคือเนื้อเสียงของหอย มันลงตัวกับเสียงของหนุ่มสันติสุขที่เล่นเป็นยักษ์หรือทศกัณฐ์ที่จะต้องร่วมผจญภัยไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่องด้วย”
และพอเนื้องานเสร็จสมบูรณ์ขึ้นมาไม่เพียงโดนใจผู้กำกับจิกประภาสเจ้าของไอเดีย กระทั่งหนุมาน หรือ เผือกหุ่นกระป๋อง ที่ได้หอย เกียรติศักดิ์ นักแสดงมากฝีมือที่กล้าพูดได้ว่าตลอดชีวิตการทำงานที่ผ่านมาล้วนข้องแวะและผูกผันกับการแสดงโดยมีการใช้เอกลักษณ์ของเสียงเป็นส่วนสำคัญในอาชีพยังอดปลื้มและภูมิใจไปกับการให้ชีวิตตัวละครสำคัญอย่างหนุมานในแอนิเมชั่นยักษ์ไม่ได้
“จำได้ว่าทีมงานเอากล้องมาตั้ง 3 ตัว และให้ผมอ่านบท และก็เล่นไปเลย เล่นจริงแล้วก็โต้ตอบกับพี่หนุ่มสันติสุขที่เป็นยักษ์จริงๆ ระหว่างที่พากย์เสียงกันไปก็ต้องโต้ตอบกันไป แล้วผมก็ต้องทำท่าทำทางด้วย มารู้ว่ากล้อง 3 ตัวจะคอยจับภาพโคลสอัพที่ปาก ที่ตัว และที่แขนต่างๆ ก็เพื่อให้แอนิเมเตอร์เขาจับไปเขียน ผมก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง แต่พอเห็นภาพที่เขาเขียนออกมาเฮ้ยมันเหมือนตัวผมจริงๆ นะไม่น่าเชื่อ ก็ขอบคุณมากนะครับ ผมก็จะบอกลูกบอกหลานว่าตัวนี้มันคือผมจริงๆ ต้องยกประโยชน์ให้พี่จิกที่เลือกผมมาเล่นเป็นตัวนี้ เพราะเผือกหรือหนุมานค่อนข้างมีนิสัยคล้ายๆ ผมเหมือนกัน โวยวาย ไม่อยู่นิ่ง และก็ได้ใช้เสียงอย่างอิสระ พี่จิกปล่อยให้ผมเติมนั่นเล่นมุกนี้คือให้เราเล่นไปก่อน เอาไม่เอาอีกเรื่อง แล้วเราเป็นคนขยันอยู่แล้วยิงไปก่อน แต่ส่วนใหญ่เอานะ ก็เอาเกือบทุกอันที่เราเสนอไป”
ทั้งนักแสดงและทีมงานตั้งอกตั้งใจกันซะขนาดนี้แล้ว อย่าลืมไปให้กำลังใจและร่วมภูมิใจกับอีกย่างก้าวของภาพยนตร์แอนิเมชั่นไทยอย่าง “ยักษ์”กันด้วยนะ 4 ต.ค. นี้ทุกโรงภาพยนตร์