รมว.สธ. เผยบทเรียนรู้จากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 54 ผู้ประสบภัยคือหัวใจสำคัญในการป้องกันโรค

จันทร์ ๐๘ ตุลาคม ๒๐๑๒ ๑๑:๔๕
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมรวมพลังใจสัญจร “ถอดรหัสปัญหาสุขภาพ บทเรียนน้ำท่วม 54 รับมือน้ำท่วม ปี 55” แก้ปัญหาโดยชุมชน ที่หอประชุมเทศบาลตำบลปลายบาง จ.นนทบุรีว่าจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายเดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 54 มีประชาชนมากกว่า 13 ล้านคน ใน 65 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและยาวนานแต่กลับพบว่าประเทศไทยไม่เกิดการระบาดของโรคติดต่อที่สำคัญ นับเป็นบทพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในงานด้านสาธารณสุขของไทย ให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาของนานาชาติ ทำให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจในระบบสาธารณสุขของไทย ทั้งๆที่ภาวะเช่นนี้จะมีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย ดังที่เคยเกิดผู้ป่วยและการระบาดโรคเลปโตสไปโรสิสหรือโรคฉี่หนูจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดน่าน ในปีพ.ศ. 2549 และอำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา ในปีพ.ศ.2553

โดยพบการระบาดของโรคติดต่อสำคัญในช่วงเกิดอุทกภัยปี 54 มีรายงานผู้ป่วยโรคฉี่หนู 1,301 ราย เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมพบว่ามีมากถึง 1,372 ราย โรคไข้เลือดออก มีรายงานผู้ป่วย 10,515 ราย เทียบกับช่วง 5 ปีย้อนหลังมีผู้ป่วย 13,310 ราย และโรคอุจจาระร่วงมีรายงานผู้ป่วย 197,680 ราย เทียบกับช่วง 5 ปีย้อนหลังมีผู้ป่วย 261,531 ราย

รมว.กระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า จากนโยบายของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและบรรเทาผลกระทบด้านสุขภาพจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 54 กระทรวงสาธารณสุขรับหน้าที่เป็นหน่วยงานหลัก ในการเตรียมความพร้อม และดำเนินงานเชิงรุกในการเข้าถึงประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ปัญหา ทั้งการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค ซึ่งได้มอบเป็นนโยบายให้กรมควบคุมโรคเป็นแกนกลางดำเนินภารกิจป้องกันควบคุมไม่ให้เกิดโรคระบาดสำคัญ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมผู้ประสบภัย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และประชาชน และความร่วมมือทางด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐด้านสาธารณสุข และการสนับสนุนเวชภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จากองค์การระหว่างประเทศและจากหลายประเทศ ทำให้น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 54 ประเทศไทยจึงไม่เกิดการระบาดของโรคติดต่อที่สำคัญ

ทั้งนี้จากการถอดบทเรียนความสำเร็จน้ำท่วมปี 54 ที่ผ่านมา พบว่ากรมควบคุมโรคได้ดำเนินการป้องกันควบคุมโรคในภาวะอุทกภัย โดยใช้ระบบการบัญชาการเหตุการณ์ที่ได้มีการเตรียมระบบล่วงหน้าไว้แล้ว ทำให้สามารถดำเนินงานอย่างมียุทธศาสตร์ และสามารถกำกับติดตามหน่วยงานทุกหน่วยงานของกรมควบคุมโรค ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ให้ดำเนินงานบูรณาการสอดคล้องกัน ส่งผลให้ไม่เกิดโรคระบาดสำคัญขึ้นในประเทศ ช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้มาก จึงมั่นใจว่าบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี54ที่ผ่านมา จะสามารถนำมาปรับใช้ในการรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมปี55นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทขอให้ประชาชนตระหนักในการป้องกันตนเองจากโรคและภัยที่มากับน้ำ และที่สำคัญคือการระมัดระวังเรื่องการจมน้ำเสียชีวิตและอุบัติเหตุจากไฟฟ้าดูด เพราะประสบการณ์จากน้ำท่วมเมื่อปี 2554ที่ผ่านมา พบว่าการจมน้ำและไฟฟ้าดูดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุด ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 10 ราย สาเหตุจากการจมน้ำ 8 ราย ไฟฟ้าดูด 1 ราย และไม่ระบุสาเหตุ 1 ราย”ดังนั้นก่อนลงน้ำควรสวมเสื้อชูชีพ ใส่รองเท้าบู๊ต หรือสวมถุงพลาสติกก่อนลุยน้ำ ล้างมือ ไม่กินอาหารค้างมื้อ ดื่มน้ำสะอาด เก็บเศษอาหารและขยะใส่ถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้แน่น ระวังอย่าให้ยุงกัด ถ้ามีโรคเรื้อรังอย่าลืมรับประทานยาประจำตัว หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด ถ้ามีอาการป่วยรีบแจ้งหน่วยแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านอย่าปล่อยไว้เกิน 2 วัน สวมหน้ากากอนามัย และปิดปาก จมูก เวลาเป็นหวัด เมื่อมีอาการท้องเสียให้ดื่มผงเกลือแร่โอ อาร์ เอส หลังน้ำลดอย่าลืมนำเด็กไปฉีดวัคซีนตามนัดฯลฯ รมว.กระทรวงสาธารณสุขกล่าว

ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่าปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ประเทศไทยไม่เกิดการระบาดของโรคติดต่อที่สำคัญ เกิดจากดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 2P 2R คือPrevention(การป้องกัน) Preparedness(การเตรียมพร้อม) Response(การตอบโต้) และ Recovery (การฟื้นฟู) ได้แก่ 1.Prevention (การป้องกัน)มีการจัดเตรียมสถานพยาบาลและหน่วยปฏิบัติการไม่ให้ถูกน้ำท่วมและเตรียมแผนประคองกิจการ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้แม้ว่าสถานที่และเจ้าหน้าที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมก็ตาม 2.Preparedness(การเตรียมพร้อม) มีการจัดเตรียมระบบการสั่งการ การสื่อสารและการพัฒนาบุคลากรในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขต่างๆ การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรคต่างๆล่วงหน้า เช่น สารเคมีกำจัดแมลงพาหะนำโรค รองเท้าบู๊ทป้องกันโรคฉี่หนู วัคซีนและเวชภัณฑ์ต่างๆ ทำให้เมื่อเกิดอุทกภัยจึงสามารถนำมาใช้ได้ทันที 3.Response(การตอบโต้)ในช่วงเกิดอุทกภัย ประกอบด้วยมาตรการสำคัญ 4 ประการได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค 2.การป้องกันโรคล่วงหน้า 3.การควบคุมโรคเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติซึ่งจะมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) จำนวน 1,030 ทีมทั่วประเทศและทีมเสริม 58 ทีม ที่พร้อมจะดำเนินการสอบสวนควบคุมโรคที่สำคัญเมื่อได้รับรายงานเหตุการณ์ผิดปกติ

และ4.คือการสื่อสารความเสี่ยงถึงประชาชน ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ สื่อเสียง อสม. ฯลฯ โดยกำหนดหลักปฏิบัติง่ายๆ ในการป้องกันโรคเป็น 3 ระยะคือ ระยะที่1น้ำท่วมหลากให้ระวังอันตรายจากการจมน้ำ ไฟดูด สัตว์มีพิษกัด ระยะที่2 น้ำท่วมขังให้ระวังอันตรายจากโรคฉี่หนู ไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วง ระยะที่ 3น้ำลดให้ระวังอันตรายจากโรคไข้เลือดออก และการทำความสะอาดบ้านเรือน เพราะการที่ประชาชนผู้ประสบภัย ปฏิบัติตนตามคำแนะนำในการป้องกันโรคถือเป็นการควบคุมโรคระบาดที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ด้าน นายแพทย์วัฒนา โรจนวิจิตรกุลนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีกล่าวเสริมว่าผลสำเร็จในการควบคุมป้องกันโรคระบาดจากเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอบางกรวย อำเภอบางใหญ่ ที่ผ่านมา เกิดจากการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการทำงานเชิงรุกในระดับพื้นที่ที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ได้รับการอบรมความรู้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาดสำคัญๆที่มากับน้ำท่วม ได้แก่ โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคอาหารเป็นพิษและอุจจาระร่วง โรคไข้เลือดออก โรคฉี่หนู โรคตาแดง และภัยจากการจมน้ำ ไฟฟ้าดูด ซึ่งงาน อสม.ของประเทศไทยเป็นรูปแบบหนึ่งที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน เป็นปัจจัยความสำเร็จของงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย และเป็นพลังสำคัญพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น ขณะนี้ทั่วประเทศมี อสม.จำนวน 1.6 ล้านคน

กลุ่มเผยแพร่ สำนักงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค

โทรศัพท์:0-2590-3862 / โทรสาร: 0-2590-3386

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ