"สีฟ้า" ร้านอาหารไทย-จีน แตกไลน์ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ครั้งแรกในรอบ 76 ปี ร่วมทุน กลุ่ม "Eat & Co" ผู้นำร้านอาหารในญี่ปุ่น ปูพรมแบรนด์ "โอซาก้า โอโช" แบรนด์ดังแห่งเมืองโอซาก้า ทุ่มงบ 10 ล้านบาท ผุดสาขาแรกในซอยทองหล่อแหล่งฮิตอาหารญี่ปุ่น ชูจุดขาย "รสชาติต้นตำรับญี่ปุ่น ผนวกเมนูแจแปน บิวตี้" นำร่องครั้งแรกในไทย รับเทรนด์สุขภาพและความงามมาแรง ประเมินผล 6 เดือนก่อนลุยขยายสาขาใหม่ ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ พร้อมต่อยอดธุรกิจแช่แข็งในอนาคต
นายทวีรัชฏ์ รัชไชยบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร้านอาหารสีฟ้า ให้บริการอาหารไทย-จีน ตำรับราชวงศ์ เปิดเผยว่า สีฟ้าได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Eat & Co ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำทางด้านอาหารมานานกว่า 40 ปี ในประเทศญี่ปุ่น โดยก่อตั้งบริษัทใหม่ คือ บริษัท โอซาก้า โอโช (ไทยแลนด์) จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้น คือ สีฟ้า 51% และ Eat & Co 49 % ทั้งนี้ เพื่อขยายธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และตัวเลขการเติบโตของตลาดร้านอาหารญี่ปุ่น เฉลี่ยปีละประมาณ 15-20% ด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 20,000 ล้านบาท ประกอบกับพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยนไป ซึ่งมองว่าการบริโภคอาหารญี่ปุ่น กลายเป็นการบริโภคในชีวิตประจำวันมากขึ้น จากอดีตอาหารญี่ปุ่นจะเป็นการบริโภคในวาระพิเศษมากกว่า
การขยายตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นนับเป็นการแตกธุรกิจใหม่ของสีฟ้าในรอบ 76 ปี นับตั้งแต่การดำเนินธุรกิจมา และถือเป็นการร่วมทุนเต็มรูปแบบในรูปของบริษัทกับบริษัทเป็นครั้งแรกด้วย เนื่องจากสีฟ้ามั่นใจในบริษัท Eat & Co. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านอาหารและเครื่องดื่มมากกว่า 40 ปี ในประเทศญี่ปุ่น มีแบรนด์มากกว่า 8 แบรนด์ โดยการทำตลาดในประเทศไทยจะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ "โอซาก้า โอโช" (Osaka Ohsho) ซึ่งเป็นร้านชื่อดังในญี่ปุ่นและเป็นแบรนด์หลักของกลุ่ม Eat & Co มีสาขามากถึง 320 สาขาในญี่ปุ่น และในต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง เกาหลี และเซี่ยงไฮ้ (ประเทศจีน)
ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สีฟ้า เห็นว่าสอดคล้องกับนโยบายและทิศทางธุรกิจของ สีฟ้าที่วางไว้ จากนี้ไป จะมุ่งหาโอกาสในการขยายธุรกิจมากขึ้น พร้อมเปิดกว้างการร่วมลงทุนกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยไม่จำกัดการลงทุนเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น "เราจะไม่ได้ปิดกั้นโอกาสทางธุรกิจ โมเดลการลงทุนเราเปิดกว้าง อย่างตลาดอาหารญี่ปุ่นที่เราเริ่มแล้ว ขณะเดียวกันถ้าเรายังไม่พร้อม หรือประเทศที่เข้ามาติดต่อมองแล้วยังไม่มีแนวโน้มการเข้าไปทำธุรกิจ เราก็ไม่ไปเพราะไม่อยากเสี่ยง แผนการขยายธุรกิจของเราเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบขยาย ดูจังหวะ โอกาส และการได้พันธมิตรที่ดี อย่างการร่วมมือทางการค้ากับกลุ่ม Eat & Co ครั้งนี้เป็นการเจราทางการค้า โดยผ่านทางกรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงานในโอซาก้า ใช้เวลานานถึง 3 ปี ส่วนหนึ่งเราต้องการรอให้ Eat & Co จดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหุ้นเมืองโอซาก้าให้เรียบร้อยก่อนด้วย กลุ่มสีฟ้าเราค่อนข้างจะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ จะเห็นได้จากการเปิดร้านอาหารสีฟ้าใน 76 ปี เรามีแค่ 20 สาขาเท่านั้น "
นายทวีรัชฏ์ กล่าวว่า บริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท เปิดร้านอาหารญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ "โอซาก้า โอโช" สาขาแรกในซอยทองหล่อ ชูจุดขายความเป็น แบบฉบับร้านอาหารญี่ปุ่นรสชาติดั้งเดิม (ออร์ริจินัล) มีเมนูมากกว่า 50 รายการ โดยเมนูไฮไลต์ คือ เกี๊ยวซ่า ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิม และมีการทำสดในร้าน ที่มีขายมานานกว่า 40 ปีในญี่ปุ่น และสามารถทำยอดขายสูงสุด 1.8 ล้านชิ้นต่อวัน ในปัจจุบัน นอกจากนั้น โอซาก้า โอโช มีความโดดเด่นในด้านการทำบะหมี่ ซึ่งมีสูตรเฉพาะตัว โดยมีการควบคุมการผลิตจากคนญี่ปุ่น สำหรับกลุ่มเป้าหมาย เน้นเจาะกลุ่มบีบวกขึ้นไป รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น ที่พำนักในเมืองไทย ที่รู้จักร้านโอซาก้า โอโชเป็นอย่างดี
"แม้ว่าปัจจุบันตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นจะมีการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากรายเก่าและรายใหม่ แต่สำหรับร้านอาหารญี่ปุ่น Concept ดั้งเดิม ที่ยังคงรสชาติแบบญี่ปุ่นจริง ๆ ยังมีการแข่งขันไม่มากนัก เนื่องจากมีจำนวนผู้เล่นน้อย ขณะที่แนวโน้มผู้บริโภคคนไทยมีความต้องการอาหารรสชาติต้นตำรับแท้ๆของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น เราจึงมั่นใจว่า ร้านโอซาก้า โอโช ซึ่งเป็นร้านแบบฉบับญี่ปุ่น ที่บริหารโดยทีมญี่ปุ่น โดยสีฟ้าจะทำหน้าที่ให้การสนับสนุนในเรื่องของจัดหาสถานที่ การอำนวยความสะดวก การติดต่อ ซัพพลายเออร์ โดยทางญี่ปุ่นจะเป็นผู้ประสานงานต่อเอง และกำหนดคุณภาพของวัตถุดิบทั้งหมด เพื่อควบคุมรสชาติต้นตำรับให้ได้มากที่สุด ทั้งหมดนี้ จะทำให้ร้านโอซาก้า โอโช เป็นที่ยอมรับของผู้ที่ชื่นชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่นได้ไม่อยากนัก"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า "ในช่วงแรกเรา ไม่ได้วางเป้าหมายในการขยายสาขา รวมถึงรายได้ เพราะต้องการรอประเมินผลหลังจากเปิดสาขาแรกไปแล้ว 6 เดือนก่อน แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างแบรนด์ โอซาก้า โอโช ให้เกิดขึ้นก่อน ทั้งในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น และคนไทยให้ได้มากที่สุด ทั้งจากกระแสการบอกต่อ และข่าวสารที่เผยแพร่ อย่างต่อเนื่อง"
นายนาโอกิ ฟูมิโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีทแอนด์ คัมพานี ลิมิเต็ด (Eat & Company Limited) กล่าวว่า สาเหตุการตัดสินใจร่วมทุนกับกลุ่มสีฟ้า เนื่องจากจากมองว่าสีฟ้าเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและยอมรับของคนไทย ซึ่งการร่วมทุนเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นเพียงก้าวแรก ในอนาคตข้างหน้า ทางกลุ่มก็มีแผนนำโนว์ฮาวด้านอาหารของสีฟ้าไปเปิดร้านอาหารที่ญี่ปุ่น และยังมีแผนความร่วมมือในธุรกิจอาหารแช่แข็ง ซึ่งมีการทำตลาดในญี่ปุ่นอีกด้วย
สำหรับการขยายตัวของโอซาก้า โอโช ในประเทศไทยนั้น เราแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนแรกเราเน้นที่การขยายตัวในกรุงเทพฯ โดยมุ่งเปิดตัวทั้งในห้าง และแบบแสตนด์ อโลน ซึ่งจะเลือกให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า สำหรับสาขาแรกที่เปิดในซอยทองหล่อ เพราะมองว่าเป็นแหล่งอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมทั้งคนไทย และคนญี่ปุ่น โดยในส่วนที่ 2 จะเป็นการขยายตัวในหัวเมืองหลัก อาทิ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นแผนในอนาคต ทั้งนี้ แผนธุรกิจกลุ่ม Eat & Co มุ่งการขยายการเติบโตไปในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้แบรนด์ "โอซาก้า โอโช" ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการขยายไปในประเทศต่างๆ คือ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เกาหลี และไทย โดยการขยายธุรกิจในแต่ละประเทศ บริษัทจะมีการศึกษาตลาดก่อนว่า แต่ละประเทศมีความเหมาะสมกับตลาดอาหารประเภทไหน เพื่อนำแบรนด์ที่มีอยู่กว่า 8 แบรนด์เข้าไปเปิดตลาด อย่างเช่น ในเซี่ยงไฮ้ เปิดเป็นร้านราเมน เป็นต้น ส่วนในไทยเลือกเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ โอซาก้า โอโช เนื่องจากเห็นว่า ตลาดอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองไทย นอกจากเมนูเกี๊ยวซ่า ที่เป็นเมนูไฮไลน์แล้ว ยังได้นำคอนเซ็ปท์ เมนู "เจแปนบิวตี้" เข้ามาผสมผสานด้วย ถือว่าเป็นตลาดแรกสำหรับคอนซ็ปท์นี้ ซึ่งจะเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ในเมนูจะมีรายอะเอียดแคลอรี่ของอาหารแต่ละชนิด เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าอาหารแต่ละชนิดมีประปริมาณแคลอรี่เท่าไหร่ ซึ่งเป็นการรองรับกระแสสุขภาพมาแรง โดยเฉพาะคนไทยที่หันมาให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” นายนาโอกิ กล่าวสรุป