การคงอันดับเครดิตของ SVI สะท้อนถึงการฟื้นตัวของบริษัทหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554 ทั้งนี้ฟิทช์เชื่อว่า SVI น่าจะสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจ และฐานะการเงินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตปัจจุบันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ประมาณร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตในช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วม ฟิทช์คาดว่าบริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้เท่ากับช่วงก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555
เงินสินไหมชดเชยความเสียหายจากอุทกภัย (ซึ่งคาดว่าจะได้รับจากบริษัทประกันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2555) รวมถึงการที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลในปี 2555 น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่มีต่อกระแสเงินสด จากรายได้ที่ลดลง เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่มากขึ้นของบริษัท ฟิทช์คาดว่า SVI น่าจะสามารถรักษา FFO-Adjusted Net Leverage ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่าได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
SVI ยังคงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนแนวโน้มที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer) จะว่าจ้างผู้รับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ผลิตแทนเพิ่มขึ้น โดย SVI เน้นการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ระดับบนประเภท non-traditional ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีความผันผวนจากความต้องการที่ต่ำกว่า และมีอัตราส่วนกำไรจากการผลิตที่สูงกว่า เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม และอุปกรณ์โสตวีดีทัศน์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาวะอุตสาหกรรมที่ท้าทาย
ปัจจัยเสี่ยงของ SVI ประกอบด้วยการที่บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่กระจุกตัว แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจรับประกอบแผงวงจรสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท non-traditional รวมถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ SVI ยังเผชิญกับความผันผวนของความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามบริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วนโดยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ขนาดธุรกิจของบริษัทมีการขยายตัวโดยมีรายได้สูงกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- การกระจายตัวของลูกค้าและกลุ่มลูกค้าตามภูมิภาคที่มากขึ้น โดยที่บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า ต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ให้อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 10 อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยลบ:
- หนี้สินสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการจ่ายเงินปันผลที่สูง การลงทุนที่สูงกว่าที่คาดไว้ หรือการเข้าซื้อกิจการอื่นโดยใช้เงินทุนจากการกู้ยืมที่สูง (Debt Funded Acquisition) ซึ่งส่งผลให้ FFO-Adjusted Net Leverage สูงกว่า 1.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- EBITDAR Margin ปรับตัวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 6 อย่างต่อเนื่อง
- สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ