ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่กทม. ได้ริเริ่มให้มีโครงการเตาเผาขยะในกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ในการบริหารจัดการขยะเขตเมืองในระยะยาว โดยใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบัน กทม. ต้องนำขยะมูลฝอยไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบในพื้นที่จังหวัดนครปฐม และจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีการที่ไม่ยั่งยืนแล้ว ยังจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและด้านการเมืองอีกด้วย ดังนั้นโครงการนำร่องเตาเผาขยะด้วยพลังงานความร้อนสูงจึงถือเป็นทางเลือกที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น จีน และประเทศในแถบยุโรป นอกจากนี้พลังงานจากเตาเผาขยะสามารถนำไปใช้ผลิตไฟฟ้า อีกทั้งส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้ขยะสามารถนำไปแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้างได้อีกด้วย โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มในเร็วๆ นี้ และใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างรวม 700 วัน อย่างไรก็ตาม กทม. ได้เน้นให้ผู้รับผิดชอบโครงการสร้างความมั่นใจและตระหนักถึงความสำคัญของประชาชนและชุมชนโดยรอบโครงการฯ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าทางโครงการฯ มีการจ้างคนไทย 80 คน พร้อมทั้งจัดส่งเข้ารับการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีการจัดการมูลฝอยพลังงานความร้อนสูง ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่สำคัญและเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและกรุงเทพมหานครในอนาคต พร้อมกันนี้ยังได้ก่อตั้งมูลนิธิรักกันเราทำได้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประชาชนและชุมชนโดยรอบโครงการฯ อีกด้วย
ปัจจุบันกทม. มีมูลฝอยที่ต้องกำจัด 8,700-9,700 ตัน/วัน โดยใช้วิธีการฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะร้อยละ 88 และนำไปทำเป็นปุ๋ยร้อยละ 12 ซึ่งเป็นการฝังกลบนอกเขตกรุงเทพมหานคร ทำให้เกิดปัญหามลพิษในด้านการขนส่ง และไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ ดังนั้นกทม. จึงได้ลงนามสัญญาจ้างบริษัทซีแอนด์จี เอ็นไวรอนแมนทอล โปรเทคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ เป็นผู้ลงทุนก่อสร้างและเดินระบบเตาเผาขยะมูลฝอยขนาด 300-500 ตัน/วัน ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยหนองแขม ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการขยะแทนการฝังกลบ โดยจะติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งบริหารจัดการโรงงานเป็นระยะเวลา 20 ปี จากนั้นจึงจะโอนให้กทม. ดำเนินการบริหารจัดการต่อไป ทั้งนี้เตาเผาขยะดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เนื่องจากมีระบบกำจัดมลพิษต่างๆ ตามหลักสุขาภิบาล ไม่เกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งได้มาตรฐานการกำจัดมลพิษทางอากาศตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในส่วนของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น ได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษา บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมนเจเมนท์ จำกัด เป็นผู้จัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการประเมินมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (EAS) แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 55 ที่ผ่านมา