นางสาวฤดี ปติอารยกุล ผู้จัดการกองทุนอาวุโส เปิดเผยว่า ตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2.75% ส่งผลให้ตั้งแต่เดือน ต.ค. จนถึงต้นเดือน พ.ย. เส้นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลงตลอดทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงระยะสั้นที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี ปรับตัวลงมากประมาณ 4-13 basis points ในขณะที่พันธบัตรอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลง 1-9 basis points แต่ในระหว่างทางอัตราผลตอบแทนมีการแกว่งตัวตามแรงซื้อขายที่เข้ามาในตลาด โดยนักลงทุนบางกลุ่มมีการขายพันธบัตรออกมา เนื่องจากราคาของพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกไปลงทุนในประเทศอื่นมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง คาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลงได้อีกจากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดตามภาวะเศรษฐกิจโลก จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด
ด้านตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. เริ่มชะลอตัว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 3.32% ลดลงจาก 3.38% ในเดือน ก.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 1.83% เทียบกับ 1.89% ในเดือนกันยายน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้จับตามองว่าอาจส่งผลกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต
“จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ตลาดตราสารหนี้ยังคงเผชิญกับภาวะความผันผวนได้ในอนาคต แม้ว่าแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในช่วงนี้ แต่อาจมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง และราคาเชื้อเพลิงที่อาจปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายเงินทุนและภาวะเศรษฐกิจก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม จึงขอแนะนำนักลงทุน ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ๆ เพื่อรอความชัดเจนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงถัดไป” นางสาวฤดี กล่าว
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด กล่าวว่า ในวันที่ 7 พฤศจิกายน บริษัทฯ จะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ทวีทรัพย์ 8 (ASP-TFIXED8) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา ซึ่งรอบการลงทุนนี้กองทุนจะพิจารณาลงทุนในตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และตั๋วแลกเงินในประเทศ อายุประมาณ 4 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี*