ดร. มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “การที่โอบามาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาอีกรอบ น่าจะเป็นที่พอใจของประชาคมอาเซียน เนื่องจากที่ผ่านมา บารัค โอบามา ถือว่าเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนเดียวที่ให้ความสำคัญกับประชาคมอาเซียน มีนโยบายสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับประเทศในแถบภูมิภาคเอเซียมาโดยตลอด โดยล่าสุดได้มีการออกแนวทางการปรับความสมดุลในเอเชีย (Rebalancing Strategy) ซึ่งทำให้ประชาคมอาเซียนลดความกังวลใจในเรื่องข้อขัดแย้งและการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนมายังภูมิภาคนี้”
ในขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว โอบามามีความเป็นกลางในเรื่องทัศนคติที่มีต่อชนชาติมุสลิม ส่งผลให้อนาคตความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สามารถพัฒนาต่อไปได้ด้วยดี และที่สำคัญคือ โอบามาได้ตอบตกลงไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งว่าจะเข้าร่วมในการประชุม East Asiro Summit (EAS) ครั้งที่ 21 ที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 18-20 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการดีที่โอบามายังดำรงตำแหน่งอยู่ เพราะในทางกลับกัน หาก รอมนี่ย์ ได้รับตำแหน่ง คงไม่สามารถมาร่วมงานนี้ได้ เนื่องจากต้องมีภารกิจมากมายในการแต่งตั้งคณะทำงาน ดังนั้น ประชาคมอาเซียนจึงใจจดจ่อรอคอยการเดินทางมากรุงพนมเปญของโอบามาครั้งนี้ ในขณะที่ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ก็รอคอยการแวะมาเยี่ยมเยือนของโอบามาและทีมงานในทริปนี้เช่นกัน
“ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยวัดจากค่าความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของ GDP ประเทศไทย เมื่อเทียบกับการเติบโตของ GDP สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีค่าความสัมพันธ์สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น ดังนั้นการที่โอบามาได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ในครั้งนี้ ส่งผลดีต่อประเทศไทยและประชาคมอาเซียนอย่างแน่นอน” ดร. มนธ์สินี กล่าวทิ้งท้าย