นางจุรีภรณ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเครือข่ายการตรวจวินิจฉัยโรคคอตีบทางห้องปฏิบัติการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจัดโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า โรคคอตีบเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยการใช้วัคซีน การให้วัคซีนเป็นการป้องกันการเกิดโรค แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ หลังการนำวัคซีนมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 ประเทศไทยพบผู้ป่วยแต่ละปีไม่ถึง 3 ราย เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เริ่มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 ถึงปัจจุบัน พบผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อโรคคอตีบ ประมาณ 100 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว ขณะนี้พบผู้ป่วยและผู้สงสัยว่าป่วยด้วยโรคคอตีบใน 7 จังหวัด ได้แก่ เลย เพชรบูรณ์ หนองบัวลำภู อุดรธานี สุราษฎร์ธานี พิษณุโลก และสกลนคร และพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง 8 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ น่าน หนองคาย บึงกาฬ ขอนแก่น อุตรดิตถ์ พิจิตร และเชียงราย
เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นการพบเชื้อโดยการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเป็นการช่วยยืนยันการติดเชื้อคอตีบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการวางแผนการควบคุมการระบาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และระบุพื้นที่ที่ต้องการควบคุมได้ชัดเจนไม่ให้กระจายสู่พื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะพื้นทื่ท่องเที่ยว ห้องปฏิบัติการจึงเป็นกำลังสำคัญในการวิเคราะห์เชื้อจากผู้ป่วยและผู้สัมผัส เพื่อช่วยให้การควบคุมการระบาดมีประสิทธิภาพขึ้น ลดความเสี่ยงของประชาชนในการเกิดโรค และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้น
รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า เนื่องจากโรคคอตีบเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยการให้วัคซีน กระทรวงสาธารณสุขได้ฉีดวัคซีนให้กับเด็กทุกคน ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่พบการระบาดใหญ่ เป็นเหตุให้เมื่อมีการระบาดใหญ่ ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลจึงไม่พร้อมตั้งรับเนื่องจากไม่ได้เพาะเชื้อคอตีบมาเป็นเวลานาน ดังนั้น ตัวอย่างจากผู้ป่วยและผู้สัมผัสจึงถูกส่งไปตรวจวิเคราะห์ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งจำนวนตัวอย่างที่ส่งมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2555 จนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมากกว่า 1,800 ตัวอย่าง นอกจากการวิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยและผู้สัมผัสแล้ว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้จัดอบรมการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และโรงพยาบาลมาแล้ว 3 ครั้ง และมีแผนจะจัดในเดือนพฤศจิกายนอีก 6 ครั้ง สนับสนุนวัสดุวิทยาศาสตร์ 26 รายการ มากกว่า 28,000 ชิ้น พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศให้สามารถวิเคราะห์เชื้อคอตีบได้ และส่งเสริมให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่สามารถเพาะเชื้อและวินิจฉัยเชื้อคอตีบได้ เพื่อสนับสนุนการควบคุมการระบาดได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพตามนโยบายของปลัดกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับการจัดสัมมนาเครือข่ายการตรวจวินิจฉัยโรคคอตีบทางห้องปฏิบัติการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายการตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องปฏิบัติการ จัดทำแนวทางปฏิบัติในการเฝ้าระวังโรคคอตีบ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นผู้สนับสนุนองค์ความรู้ เช่นการเก็บตัวอย่าง การนำส่งตัวอย่าง การตรวจวิเคราะห์เชื้อคอตีบ ส่วนศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่ง จะสนับสนุนวัสดุวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์เชื้อคอตีบให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศ