“ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัทสามารถ ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในส่วนของกำไรสุทธิ ซึ่งคาดว่าจะทะลุเป้าพันล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน บริษัทเก็บเกี่ยวกำไรมาได้แล้วเกือบ 800 ล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากมีสัญญาณบวกในหลายๆ ด้าน เช่น การพลิกฟื้นของไอ-โมบาย ซึ่งในไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว สามารถจำหน่าย Smart Phone ไปได้แล้วเกือบ 2 แสนเครื่อง อีกทั้งยังจะมีการรับรู้รายได้จากพอร์ทัลเน็ทและจากงานโครงการใหม่ๆของกลุ่ม ICT Solutions ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือที่จะทยอยสร้างรายได้รวมแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท และอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สำคัญสำหรับกลุ่มสามารถ คือ บริษัทได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการฯในการเข้าเจรจาซื้อกิจการบริษัทเทด้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำในการประกอบธุรกิจทางด้านงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า, งานก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า และงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลด้วยงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขยายธุรกิจด้านพลังงานและบริการสาธารณะอย่างจริงจังต่อไป สำหรับรายได้รวมปี 55 นี้ คาดว่าจะรับรู้ประมาณ 18,000 ล้านบาท”
สรุปผลประกอบการในแต่ละสายธุรกิจของกลุ่มสามารถในไตรมาส 3 ปี 55 ดังนี้
สายธุรกิจ ICT Solutions นำโดย บมจ.สามารถเทลคอม มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,920 ล้านบาท กำไรสุทธิ 237 ล้านบาท ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาเซ็นสัญญาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท รวมโครงการในมือ (Backlog) ในปัจจุบัน มูลค่ารวม 10,537 ล้านบาท โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการมูลค่ารวมอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ แม้ไม่รวม Mega Project บมจ.สามารถเทลคอมก็มีรายได้จากโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 7,000 - 8,000 ล้านบาท อีกทั้ง เนื่องจากการรุกตลาดด้าน ICT Outsourcing ก็ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ประจำจากค่าบริการบำรุงรักษาและปรับปรุงระบบไอทีที่ต่อเนื่อง
สายธุรกิจ Mobile Multimedia นำโดย บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,618 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท มียอดขายโทรศัพท์มือถือในรอบ 9 เดือนรวมแล้วกว่า 3 ล้านเครื่อง นับเป็น Smart Phone จำนวน 2.3 แสนเครื่อง ด้วยราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 23 เปอร์เซนต์ ทำให้ไอ-โมบายมีรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน คาดว่าจะเพิ่มยอดขาย Smart Phone ในไตรมาส 4 ได้อีก 4 แสนเครื่องจากการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่วนธุรกิจทางด้าน MVNO คาดว่าจะมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเมื่อเครือข่าย 3 จีครอบคลุมมากขึ้น แม้จะมีความล่าช้าในการติดตั้งเครือข่าย แต่เชื่อมั่นว่าทีโอทีคงต้องเร่งขยายเครือข่าย เพื่อให้ทันและพร้อมต่อการแข่งขันในต้นปีหน้า
สายธุรกิจอื่นๆ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ บริการ Call Center โดย บจก. วันทูวัน คอนแทคส์ ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมเกือบ 900 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ สายการบินแอร์เอเชีย บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต บริษัทซิกน่าประกันภัย กรมตำรวจ 191 การรถไฟ และอื่นๆ
“สิ่งที่กลุ่มสามารถมุ่งเน้นคือการสร้าง Sustainable Growth หรือธุรกิจที่มีรากฐานยั่งยืนโดยเราให้ความสำคัญต่อการแสวงหาแหล่งรายได้ประจำและการรักษาอัตราการเติบโตของผลกำไรให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จะเห็นได้จากรายได้ประจำของเราอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28 เปอร์เซนต์ของรายได้รวมทั้งปี ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต และเรายังมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลกำไรได้ตามเป้าหมาย ไม่เพียงเท่านั้น เรายังให้ความสำคัญกับการบริหารองค์กรที่ดี มีความรับผิดชอบทั้งต่อลูกค้าและผู้ถือหุ้น ตลอดจนการเกื้อกูลสังคมอย่างจริงจังควบคู่ไปด้วย จนทำให้ 3 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น ,บมจ.สามารถเทลคอม และบมจ.สามารถไอ-โมบาย ได้รับการประเมินระดับดีเลิศ ติดลำดับ Top Quartile 2555 ในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) 3,000 - 9,999 ล้านบาท จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทยด้วย” นายวัฒน์ชัยกล่าวสรุป