นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดไตรมาสที่ 3/2555 มีกำไรสุทธิ 22.30 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2554 ที่มีผลขาดทุนจำนวน 58.64 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 138.03 ซึ่งสาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น มาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากบริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 136.53 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 349.97 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ KMC มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเพราะมีการก่อสร้างคอนโดเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าได้ตามเป้าหมาย ทำให้บริษัทฯสามารถบันทึกรายได้ อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีกำไรจากการขายทรัพย์สินจำนวน 28 ล้านบาท
ด้านต้นทุนขายและบริการมียอดเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวน 86.55 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 249.08 ทำให้บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจำนวน 49.981 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.72 ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 7.86 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 19.61 ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีจำนวนลดลง 9.046 ลบ. คิดเป็นร้อยละ 41.014 เนื่องจากบริษัทฯ ได้ชำระหนี้คืนสถาบันการเงินตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้
ส่วนงวด 9 เดือน บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 50.82 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 239.82 ล้านบาท
"ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ออกมาพลิกมีกำไรมากกว่า 22 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 58 ล้านบาท คงทำให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นได้มากขึ้น ว่าเงินที่เพิ่มทุนเข้ามาให้บริษัทไม่เสียเปล่า เพราะได้มีการนำไปพัฒนาโครงการ และเห็นกลับมาเป็นรายได้อย่างชัดเจน เป็นการยืนยันถึงความพยายามในการทำงานของทั้งทีมผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และหลังจากนี้ ผมมีความเชื่อมั่นว่า KMC จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามแผนการดำเนินงานที่เราวางเอาไว้ ซึ่งน่าจะได้เห็น KMC เริ่มมีกำไรอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป" นายวิรัตน์กล่าว
กรรมการผู้จัดการ KMC กล่าวอีกว่า ในช่วงต่อจากนี้ไป บริษัทฯได้ปรับแผนในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลกำไร และยอดขายให้เพิ่มขึ้นในระยะสั้น อีกทั้งยังเป็นการร่นระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ ด้วยการเข้าซื้อกิจการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ไม่มีศักยภาพในการขาย โดยล่าสุดหลังจากที่ได้เงินเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจงจำนวน 600 ล้านบาท จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 2,000 ล้านหุ้น บริษัทฯก็ได้วางแผนในการเข้าซื้อกิจการโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดภูเก็ต โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวก่อสร้างไปแล้ว 90% นอกจากนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 1 แห่ง เป็นคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 500 ล้านบาท และจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/2556 อีกทั้งที่ผ่านมา KMC ก็ได้มีการเข้าซื้อกิจการคลังสินค้าที่ชลบุรี ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยง ด้วยการเพิ่มรายได้จากค่าเช่า ซึ่งเป็นรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน นอกเหนือการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างเดียว