นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาโครงการ “ชวนชื่น” และ “สิรีนเฮ้าส์” เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2555 ว่า บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ประจำไตรมาส 3/2555 จำนวน 386.17 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 397.05 ล้านบาท แต่ลดลง 22.37% จากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ 497.48 ล้านบาท โดยรายได้หลักในไตรมาสนี้มาจาก โครงการชวนชื่นโมดัสเซนโทร และโครงการชวนชื่นเพชรเกษม เมื่อเปรียบเทียบงวด 9 เดือน บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ 1,257.39 ล้านบาท ลดลง 12.81% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 1,442.18 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯ มีรายได้ที่รอการรับรู้ส่วนหนึ่งจากคอนโดมิเนียมเด็นวิภาวดี มูลค่าโครงการ 885 ล้านบาท ซึ่งสร้างยอดขายได้เกินกว่า 99% แล้ว และจะรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และโอนกรรมสิทธิ์ ในขณะที่ปีที่แล้วรายได้ของบริษัทฯ ทั้งหมดมาจากโครงการจัดสรร ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ตามการโอนกรรมสิทธิ์รายแปลง ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2555 กว่า 1,480 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการในแนวราบ 41% และคอนโดมิเนียม 59%
บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 474.52 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนของปี 2555 ลดลง 17.00% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 571.69 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ที่ลดลง อีกทั้งอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) ในงวด 9 เดือนของปีนี้ เท่ากับ 37.74% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 39.64% เนื่องจากในปีนี้มีสัดส่วนรายได้จากทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นจากเดิมที่รายได้มาจากบ้านเดี่ยวเป็นหลัก ซึ่งทาวน์เฮ้าส์จะมีกำไรเบื้องต้นต่ำกว่าบ้านเดี่ยว ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในปีนี้เท่ากับ 274.51 ล้านบาท ลดลงจาก 282.68 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจาก 19.60% เป็น 21.83% สาเหตุจากฐานรายได้ที่ลดลง
ในไตรมาส 3/2555 บริษัทฯ บันทึกส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคือ บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด จำนวน 17.30 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีการรับรู้กำไรจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ จึงมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 3 เดือน 45.84 ล้านบาท คิดเป็น 0.05 บาทต่อหุ้น ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 46.10 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ใน ไตรมาสนี้ 11.63% กำไรสุทธิงวด 9 เดือนอยู่ที่ 177.06 ล้านบาท (0.21 บาทต่อหุ้น) ลดลง 14.75% จากปีที่ผ่านมา (207.69 ล้านบาท) และมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 13.86% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 14.25%
โดยในส่วนของสินทรัพย์ เพิ่มขึ้น 425.62 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากมูลค่างานพัฒนาโครงการ (รวมถึงคอนโดมิเนียมระหว่างก่อสร้าง) ที่เพิ่มขึ้น และบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ ในขณะที่หนี้สินปรับตัวเพิ่มขึ้น 403.34 ล้านบาท จากการกู้เพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ และเพื่อรองรับการขยายตัวในปีหน้า โดยบริษัทฯ ได้กู้ยืมโดยออกตั๋วแลกเงินระยะสั้นเป็นเงิน 210 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน จึงทำให้เงินกู้ยืมระยะสั้นสูงขึ้น สำหรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูงขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาจาก 0.38 เท่าเป็น 0.46 เท่า ผลจากการลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มยังทำให้กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ (203.58) ล้านบาท ส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนเป็นบวกอยู่ที่ 15.01 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นบวก 181.20 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ (40.03) ล้านบาท ในปี 2554 เนื่องจากการกู้ยืมเพิ่มขึ้น