นายประเสริฐ ไวยาวัจมัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท แปซิฟิค เฮลธ์แคร์ จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ สินค้าด้านสุขภาพ และนมผงสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ “นมแพะ ดีจี” จากนิวซีแลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดสัดส่วนกลุ่มธุรกิจยาจาก 70% เหลือ 38% และเพิ่มความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่ยามากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเริ่มควบคุมค่าใช้จ่ายในการในการใช้ยามากขึ้น ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะทำให้ผู้ผลิตยาจากประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกอาเซียนเข้ามาทำตลาดในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งที่สำคัญอย่างอินโดนีเซียที่มีต้นทุนการผลิตยาที่ถูกกว่าไทยเนื่องจาก economy of scale in the country plus strong supports from the government (please translate for me).
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้เป็นตัวแทนจำหน่ายและรองรับการจดทะเบียนยาให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ผลิตยาของไทยและผู้ประกอบการด้านสุขภาพไปเปิดตลาดในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเป็นตัวแทนรับจดทะเบียนยาให้กับผู้ผลิตยาจากต่างประเทศที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน
นายประเสริฐ กล่าวว่า จากนี้ไปจะเพิ่มสัดส่วนการทำตลาดให้กับกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่ยา โดยล่าสุดเป็นตัวแทนจำหน่ายและทำตลาดนมแพะแบรนด์ “ดีจี” จากบริษัท แดรี่โกท จำกัด ผู้ผลิตนมแพะจากนิวซีแลนด์ ในภูมิภาคอาเซียน ยกเว้นมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่มีตัวแทนจำหน่ายมาก่อนหน้านี้ โดยเริ่มทำตลาดที่ฟิลิปปินส์มาก่อนหน้านี้ และขยายไปสู่เวียดนามในปี 2556 รวมถึงอินโดนีเซีย, สปป.ลาว, พม่า และกัมพูชา ตามลำดับ นอกจากนี้ทางแปซิฟิคยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในระดับภูมิภาคในอีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็นเครื่องตรวจวัดความแข็งของตับไฟโบรสแกน หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อื่นๆ อีกหลายรายการ
ทั้งนี้ จะใช้งบการตลาด 70 ล้านบาท ทำตลาดานมแพะดีจี ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ รวมถึงใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ “นาเดีย นิมิตรวานิช” ซึ่งเป็นตัวแทนของแม่ยุคใหม่ทันสมัยที่ใส่ใจลูกน้อยด้วยการเลี้ยงดู ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวบรรจุกระป๋อง จำหน่ายในราคาที่สูงกว่านมวัวประมาณ 15-20%
ภาพรวมตลาดนมช่วงที่ผ่านมามีมูลค่า 1.5 หมื่นล้านเติบโตต่อเนื่อง แบ่งเป็นนมวัวกว่า 80-90% ที่เหลือ 10-20% เป็นอื่นๆ ตั้งเป้ายอดขายนมแพะดีจีปีหน้าไว้ที่ 400 ล้านบาทหรือเติบโตปีละประมาณ 30-40% ขณะที่เป้าหมายรายได้ปีนี้ทั้งกลุ่มตั้งเป้าไว้ที่ 2,000 ล้านบาท โต 15% และยังตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปีหน้าไว้อย่างต่อเนื่อง