เรื่องแรก บุกเบิกแนะนำเมล็ดกาแฟไทยเข้าสู่ตลาดโลกและร่วมกับผู้นำเกษตรกรชาวสวนกาแฟ ผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์ยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การกาแฟระหว่างประเทศ ส่งผลให้เมล็ดกาแฟไทยมีสิทธิขายในตลาดสมาชิกองค์การกาแฟฯ ซึ่งได้ราคาที่ดีกว่า
เรื่องที่สอง ตั้งมาตรฐานกาแฟโรบัสต้าไทย โดยเก็บข้อมูลและเรียนรู้คุณภาพเมล็ดกาแฟ ที่โรงงานแปรรูปต้องการและประสานกับชาวสวนกาแฟไทย ตั้งมาตรฐานคุณภาพเมล็ดกาแฟโรบัสต้าไทย ที่โรงงานยอมรับ และชาวสวนไทยทำได้
เรื่องที่สาม ผลักดันให้มีการทำงานร่วมกัน ๓ ฝ่าย คือ เกษตรกรในฐานะผู้ปลูก สมาคมฯ ในฐานะผู้ประกอบการ และรัฐในฐานะผู้กำหนดนโยบาย ร่วมกันประชุมเป็นประจำทุกปี ก่อนผลผลิตกาแฟไทยเข้าสู่ตลาด เพื่อทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายในสถานการณ์ตลาดกาแฟ ในฤดูกาลนั้นๆ จะได้เตรียมการและกำหนดนโยบายกาแฟในปีนั้นๆ ให้เหมาะสม และสมาคมฯ ได้ประกันราคาซื้อให้เกษตรกรเพื่อให้ความมั่นใจกับเกษตรกรว่าราคากาแฟที่ขายได้จะไม่ต่ำกว่าราคาประกันของสมาคมฯ
“ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ การส่งออกเมล็ดกาแฟดิบของไทยมีปริมาณลดลง เนื่องด้วยพื้นที่เพาะปลูกลดลง และการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี จากที่เคยส่งออก ๘๐% ของผลผลิต ใช้ภายในเพียง ๒๐% ปัจจุบันใช้ภายในเกือบทั้งหมด ส่งออกไม่ถึง ๕% สมาคมฯ เล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม กาแฟไทย จึงปรับนโยบายการดำเนินงานเพิ่มการส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพสำหรับตลาดกาแฟ เฉพาะ และสนับสนุนส่งเสริมตลาดกาแฟภายในประเทศให้ใช้เมล็ดกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับ อุตสาหกรรมกาแฟไทยให้เข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพความสามารถในการแข่งขันในตลาดสินค้ากาแฟ และเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่สมาคมฯ จะดำเนินการต่อไป สมาคมฯ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมกาแฟไทย” ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น ๒๑ ราย เป็นสมาชิกสามัญจำนวน ๒๐ ราย สมาชิกวิสามัญ จำนวน ๑ ราย ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าร้อยละ 75 ของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ทั้งนี้ธุรกิจกาแฟไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 10%”นางวารี สดประเสริฐ กล่าวถึงบทบาทของสมาคมฯ ตลอด ๓๐ ปีที่ผ่านมา
“ตลอดระยะเวลา ๓๐ ปี สมาคมกาแฟไทย ได้ดำเนินนโยบายดูแลมาตรฐานกาแฟ ตลอดจนให้ความเป็นธรรมในการซื้อขายผลผลิตกาแฟกับเกษตรกร และเป็นตัวกลางประสานงานระหว่างส่วนราชการและเกษตรกรกับผู้ประกอบการ รวมถึงแก้ไขปัญหาให้กับทุกฝ่ายเพื่อให้ธุรกิจกาแฟ ดำเนินการไปด้วยดีและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสมาคมฯ คาดว่าภาพรวมธุรกิจกาแฟไทย ในปีหน้าจะสามารถเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งสมาคมฯ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้เป็นหนึ่งและเป็นที่รู้จักจดจำของวงการกาแฟทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่ “การเป็นศูนย์กลางกาแฟของอาเซียน” นางวารี สดประเสริฐ กล่าวแสดงความเชื่อมั่น
ด้านนายอัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ อุปนายกสมาคมกาแฟไทย เปิดเผยถึงพันธกิจหลักของสมาคม กาแฟไทยว่า การก้าวสู่ปีที่ ๓๑ ในครั้งนี้ เราต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและคุณภาพของสมาคม กาแฟไทยอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการบริหารสมาคมฯ เพื่อเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมกาแฟไทยทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน ในการสรรสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยสมาคมฯ ได้กำหนดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ประกอบด้วย
๑. เป็นศูนย์กลางและแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระบบเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
๒. รวบรวมสมาชิกที่หลากหลายในระบบโซ่อุปทาน
๓. เป็นศูนย์กลางและเวทีของการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ของทุกภาคส่วนในวงการกาแฟ
๔. สามารถดำรงอยู่และอำนวยประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างยั่งยืน
๕.ยกระดับคุณภาพและความสามารถในการแข่งขันของทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทานของวงการกาแฟทั้งระบบ
“สมาคมกาแฟไทยประสงค์ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอุปสงค์ของกาแฟในประเทศอย่างมีระบบ จนนำมาสู่ การพัฒนาปรับปรุงทุกภาคส่วนในวงการกาแฟอย่างมีทิศทางและยั่งยืน โดยมุ่งเสริมสร้างจริยธรรมใน ทุกภาคส่วนสำหรับผู้เกี่ยวข้องในวงการกาแฟทั้งระบบ เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพความรู้ ความเข้าใจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ รวมถึงการสร้างอัตตลักษณ์และคุณค่าทางการตลาดอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน” นายอัคคพันธ์ ลีวุฒินันท์ กล่าวสรุป