นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เรียกร้องทุกภาคส่วนให้หยุดละเมิดสิทธิ หยุดการตีตรา และเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อฯ ให้เป็นศูนย์ โดยขอให้ ๑.หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนทุกแห่งต้องไม่บังคับตรวจเลือดเอชไอวีทั้งก่อนและระหว่างการทำงาน ๒.สถาบันการศึกษาทุกแห่งต้องไม่ใช้เหตุผลของการมีเชื้อเอชไอวีมาลิดรอนสิทธิด้านการศึกษา และต้องไม่บังคับตรวจเลือดเอชไอวีไม่ว่าในกรณีใดทั้งสิ้น ๓. รัฐบาลต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในการป้องกันการรับและถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีว่าเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่ผลักภาระให้กับผู้ติดเชื้อฯ เพียงลำพัง รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์
ประธานเครือข่ายฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง โดยจัดตั้งหรือส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ที่ต้องการ “ลดให้เป็นศูนย์” ทั้งในด้านการตีตราเลือกปฏิบัติ การรักษา และการป้องกัน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ซึ่งมาตรการเร่งด่วนคือ การจัดบริการเพื่อลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดที่รอบด้าน และขยายการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีในระบบประกันสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ
“การบังคับตรวจเลือดเอชไอวี เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งจากการสำรวจข้อมูล ผู้ติดเชื้อฯ ร้อยละ ๔๗.๒๑ เคยถูกละเมิดสิทธิในฐานะที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ ๒๖.๑๘ เคยถูกปฏิเสธการจ้างงาน และร้อยละ ๓๒.๑๙ เคยสูญเสียงานและรายได้เนื่องจากการติดเชื้อฯ โดยที่เหตุการณ์การละเมิดสิทธิแบบนี้ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง” ประธานเครือข่ายฯ กล่าว