ทริสเรทติ้งรายงานว่า เอสพีวีเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและคาดว่าจะมีการกำหนดคุณสมบัติให้เป็นไปตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ต่อไป ผู้ถือหุ้นของเอสพีวีประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 49.5% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48.99% และบุคคลธรรมดาซึ่งถือหุ้น 1.6% ในช่วงแรกของโครงการ เอสพีวีจะออกตราสารหนี้มูลค่า 928.97 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นจำนวน 660 ล้านบาท และหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 268.97 ล้านบาท โดยหุ้นกู้มีประกันจะเสนอขายให้แก่นักลงทุน ในขณะที่หุ้นกู้ด้อยสิทธิจะถือโดย บตท. หุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะด้อยกว่าหุ้นกู้ที่ไดัรับการจัดอันดับเครดิตและเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีประกัน ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดของกองลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินทรัพย์) จากผู้เสนอโครงการภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องระหว่าง บตท. และเอสพีวี
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ตามข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2555 กองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่ง บตท. ซื้อมาจากสถาบันการเงิน 6 แห่ง (ผู้ขาย) ประกอบด้วยลูกหนี้สัญญาเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยจำนวน 777 สัญญา ซึ่งมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 914.28 ล้านบาท และมีมูลค่าทางบัญชี 928.97 ล้านบาท โดยมูลค่าทางบัญชีสูงกว่ามูลค่าเงินต้นคงเหลือประมาณร้อยละ 1.6 โดยหนี้ส่วนใหญ่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวซึ่งอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำของสถาบันการเงินนั้น ๆ ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีการจ่ายชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดและไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ เงินค่างวดที่จะได้รับจากกองสินทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 8.94 ล้านบาท ซึ่งเอสพีวีจะต้องจัดสรรเงินค่างวดดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจำนวน 5.742 ล้านบาทต่อเดือน โดยเงินที่จัดสรรให้ดังกล่าวจะประกอบด้วยส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของกองสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 6.81% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ [4.06%] และอายุเฉลี่ยของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงเหลืออยู่ที่ 240 เดือน นอกจากนี้ สิทธิในหลักประกัน สัญญาจำนอง และกรมธรรม์ที่มาพร้อมกับสินเชื่อก็จะโอนให้แก่เอสพีวี ณ เวลาเริ่มต้นโครงการ
บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ด้วย โดย บตท. เคยเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของ บตท. ที่ผ่านมาทั้ง 4 โครงการ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่า บตท. จะสามารถทำหน้าที่ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ได้ โดยเงินค่างวดที่ได้รับในแต่ละเดือนจะนำเข้าบัญชีของ บตท.ก่อน และจะโอนเข้าบัญชีเอสพีวี ณ ทุกสิ้นเดือน ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่เงินรายได้ของเอสพีวีจะปะปนกับเงินของ บตท. นั้น ไม่น่าเป็นประเด็นที่ต้องกังวล เนื่องจากสำหรับโครงการนี้ บตท. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการด้วย โดยตามสัญญาให้ความสนับสนุนทางการเงินระหว่าง บตท. และ เอสพีวีนั้น บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดตลอดอายุของหุ้นกู้ได้ นอกจากนี้ภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว โดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเป็นราคาระหว่าง 1) มูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์รวมดอกเบี้ยค้างชำระ หรือ 2) มูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิซึ่งรวมภาระผูกพันต่าง ๆ ของเอสพีวี หลังจากที่หักด้วยเงินสดคงเหลือในบัญชีสำรองของเอสพีวี แล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า เอสพีวีจะนำเงินที่ได้รับจากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (5) จำกัด (SPV-SMC (5))
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น 660 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A+(sf)
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 268.97 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 ไม่มีอันดับเครดิต