นายประเสริฐกล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากกองทุนข้างต้นแล้ว บลจ. กสิกรไทยยังเตรียมจ่ายปันผลสำหรับกองทุนรวมต่างประเทศอีก 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย พร้อมด้วยกองทุนเปิดเค โกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเดียวกัน ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลของทั้ง 2 กองทุนเป็นเงิน 81.01 ล้านบาท โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 14 ธันวาคม 2555 และในวันที่ 19 ธันวาคม 2555 จะจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค อะกริคัลเจอร์ (K-AGRI) สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงเดียวกันเช่นกัน ในอัตรา 0.75 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 15.25 ล้านบาทอีกด้วย
สำหรับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) ลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารไลฟ์สไตล์ เอนเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ 2 โครงการคือ โครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์รัชโยธินและเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 กองทุนจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง คิดเป็นอัตรารวม 4.8980 บาทต่อหน่วย ด้านกองทุนรวมสิทธิการเช่าโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (CTARAF) ลงทุนในสิทธิการเช่า 30 ปีในที่ดินและอาคารของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ CTARAF เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2552 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2552 มีการจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 16 ครั้ง คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลรวม 3.3702 บาทต่อหน่วย
สำหรับกองทุนเปิดรวงข้าว 3 (RKF3) นั้น นายประเสริฐกล่าวว่า ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนนี้ในปี 2536 กองทุนดังกล่าวมีการจ่ายปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง คิดเป็นอัตรา 8.76 บาทต่อหน่วย นับว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวของกองทุนดังกล่าวยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจและสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ แม้จะผ่านความผันผวนในตลาดหุ้นไทยและผ่านภาวะวิกฤตเศรษฐกิจสำคัญๆ มามากพอสมควร การเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการจัดสรรเงินลงทุนเข้ามาอยู่ในกองทุนหุ้นเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาวพร้อมโอกาสได้รับเงินปันผลระหว่างทาง โดย บลจ. กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่เป็นบวกต่อเนื่อง และเชื่อว่าตลาดน่าจะยังได้รับประโยชน์จากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 4 — 5% ในปีหน้าโดยมีการบริโภคภายในประเทศเป็นตัวผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่ง บลจ. กสิกรไทยคาดการณ์ดัชนี SET Index ในปีหน้าไว้ที่ประมาณ 1,450 จุด ขณะที่กองทุน ABFTH ซึ่งจะจ่ายเงินปันผลพร้อมกันนั้น เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการกองทุนพันธบัตรเอเชียระยะที่ 2 ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของธนาคารกลางชาติต่างๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจำนวน 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เพื่อให้เกิดการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักลงทุนตลอดทั้งผู้ออกตราสารในตลาดตราสารหนี้ของประเทศสมาชิก และนับเป็นกองทุน ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 กองทุนจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 14 ครั้ง ในอัตรารวมทั้งสิ้น 287.36 บาทต่อหน่วย
ด้านกองทุนรวมต่างประเทศ นายประเสริฐกล่าวว่า ยังถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการกระจายสินทรัพย์ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุน K-GA ซึ่งมีจุดเด่นที่พอร์ตการลงทุนแบบผสม กระจายการลงทุนไปในหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกว่า 700 หลักทรัพย์ในหลากหลายประเภทและหมวดธุรกิจ พร้อมการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมในแต่ละสภาวะตลาด ซึ่งถือเป็นตัวช่วยในการจัดสรรเงินลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจพร้อมทั้งลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวกองทุนดังกล่าวในปีที่ผ่านมา มีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง ในอัตรารวม 2.50 บาทต่อหน่วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ บลจ. กสิกรไทย ผ่าน
KAsset Contact Center 0 2673 3888