ประธานรัฐสภาเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ มณฑลยูนนาน และนครฉงชิ่ง

ส่วนนายหลี่ จี้เหิง ผู้ว่าการมณฑลยูนนานได้กล่าวว่ามีประชากรมากกว่า 45ล้านคนแบ่งการปกครองเป็น26จังหวัดมีนครคุนหมิงเป็นเมืองเอก ในปีที่ผ่านมามีผลผลิตมวลรวม(GDP)เพิ่มถึง 12.5%และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเมืองหนึ่งของจีน เป็นการก้าวกระโดดสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ซึ่งต้องอาศัยมิตรประเทศเพื่อบ้านเช่นประเทศไทย และอาเซียนจึงจะสำเร็จได้และได้เสนอความร่วมมือ 5 ด้านคือ

1.ส่งเสริมการเยี่ยมเยือนในระดับสูงให้มากขึ้น

2.ความร่วมมือในการจัดงานแสดงสินค้า(Expo)

3.ความร่วมมือด้านการศึกษาและการทุนแลกเปลี่ยนให้มากขึ้น

4.ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน

5.อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์

นอกนั้นยังกล่าวชื่นชมประธานรัฐสภาไทยซึ่งมีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศเป็นอย่างดี พร้อมแสดงจุดยืนถึงความร่วมมือทางการศึกษาและการลงทุนทั้งสองประเทศในอนาคตอีกด้วย

เวลา 18.30 น. นายหลี่ จี้เหิง ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาไทย ในการนี้คณะผู้แทนรัฐสภาไทยและนักธุรกิจได้พูดคุยแลกเปลี่ยนในประเด็นสำคัญอย่างเป็นกันเอง

ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม2555 เวลา 9.45 น. คณะฯได้เดินทางถึงมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่แห่งคุนหมิงเพื่อเข้าร่วมพิธีมอบตำแหน่งศาสตราจารย์กิติมศักดิ์ แด่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาไทย โดยมีนายเหอ ยวี่หลิน ผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย และคณะอาจารย์ นักศึกษา ให้การต้อนรับและเป็นประธานพิธีมอบหนังสือรับรองและตราประจำมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน เปิดการเรียนการสอนครบทุกสาขา มีนักศึกษามากว่า60,000 คน

ถัดจากนั้นคณะฯได้เดินทางไปยังเมืองจิ่งหง สิบสองปันนา โดยสายการบินไซน่าเซาเทิร์น โดยเข้าพักผ่อนที่โรงแรม Jingland และเยี่ยมชม เก้าจอมสิบสองเชียง หรือ เก้าจวงซีจวงจิ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของสิบสองปันนาที่รวบรวมวัฒนธรรมของชาวไทยลื้อซึ่งเป็นหนึ่งในหลายชนชาติของจีน ที่มีลักษณะภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับคนไทยอย่างมาก สร้างบนเนื้อที่มากกว่า 600ไร่ ใช้เงินลงทุนมากกว่า 3500 ล้านหยวนปัจจุบันได้เปิดให้ชมแล้ว คาดเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2558 ต่อจากนั้นคณะได้ชมการแสดงชุดพิเศษ ณ โรงละครนานาชาติซานหลิงซึ่งตั้งอยู่ในเก้าจอมสิบสองเชียงซึ่งถือว่าเป็นภารกิจเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีนให้แน่นแฟ้นให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างยิ่ง