“ผลการดำเนินงานของทั้ง 3 กองทุนที่มีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ โดยกองทุน K-EQUITY กองทุน RKF-HI และกองทุน KSDLTF ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในรอบปีที่ผ่านมาที่ 12.12% 12.02% และ 3.22% ตามลำดับ ขณะที่ Dividend Yield ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศในปี 2555 อยู่ที่ 2.98% เท่านั้น” นายประเสริฐกล่าว
สำหรับทิศทางการลงทุนในหุ้น นายประเสริฐกล่าวว่า บลจ. กสิกรไทย มองสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นปีค่อนข้างสดใส เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นหลังจากสหรัฐฯสามารถผ่านข้อตกลงขั้นต้นเกี่ยวกับปัญหาหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ส่วนตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงมีทิศทางเป็นบวก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ล้วนมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงมาตรการซื้อคืนพันธบัตรจากธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลให้มีสภาพคล่องและเม็ดเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแข็งแกร่ง โดยเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาที่เริ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 23,000 ล้านบาท ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งปี 2555 อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,100 ล้านบาทต่อเดือน
“สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้ เชื่อว่าแนวโน้มยังคงเป็นบวก โดยได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคในประเทศที่ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และยิ่งเมื่อได้รับแรงส่งจากการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ทำให้ฐานภาษีของผู้มีรายได้ส่วนใหญ่ลดลง 2- 5% คาดว่าจะยิ่งทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น ประกอบกับการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อการบริโภค ขณะเดียวกันการลงทุนของภาครัฐที่ยังมีโครงการลงทุนและโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังคงสามารถขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้ 4-5% นอกจากนี้ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 20% ซึ่งจะทำให้บริษัทส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิมากขึ้นและส่งผลบวกต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนก็นับเป็นปัจจัยบวกอีกประการที่จะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยเติบโตต่อไปได้อีก โดย บลจ. กสิกรไทยจะยังคงเน้นลงทุนในหุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน ตลอดจนการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก” นายประเสริฐกล่าว
ด้านปัจจัยที่ต้องจับตา นายประเสริฐกล่าวว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญแรงขายทำกำไรบ้างหลังจากราคาได้ปรับขึ้นไปมาก แต่จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าในปีนี้จะสามารถเติบโตได้กว่า 15% ก็เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยภายนอกยังคงต้องจับตาการเลื่อนการพิจารณาการตัดลดงบประมาณของสหรัฐฯ ออกไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดเกิดความกังวลและมีโอกาสปรับฐานลงมาได้ในช่วงดังกล่าว แต่เชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็จะสามารถตกลงกันได้ เช่นเดียวกันกับมาตรการการปรับขึ้นภาษีของผู้มีรายได้ปานกลางในสหรัฐฯ ที่สามารถหาข้อยุติได้ในที่สุด
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-EQUITY และกองทุน RKF-HI สามารถขอรับหนังสือชี้ชวยเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888